วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แมวไทย

แมวไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แมวไทย (วิเชียรมาศ)
แมวไทย คือแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยบสู่สยามโดยการกวดต้อนครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยบไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก
สำหรับในประเทศไทย คนไทยที่เป็นที่รับรู้ดีว่าชอบเลี้ยงแมวไทย อาทิ เช่น นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายพิชัย วาสนาส่ง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ และ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) เป็นต้น

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ชนิดของแมวไทย

แมวไทย (วิฬาร) ที่ยังเหลือให้พบเห็นในปัจจุบันนี้มี 6 ชนิดคือ วิเชียรมาศ สีสวาด ศุภลักษณ์ โกญจา ขาวมณี และแซมเสวตร[1] แต่แท้จริงแล้วในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยว่ามีทั้งหมด 23 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นแมวให้คุณ 17 ชนิด และ แมวร้ายให้โทษอีก 6 ชนิด

[แก้] แมวให้คุณ 17 ชนิด

แมวไทยบนแสตมป์ของ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (ซ้ายบน) ขาวมณี, (ซ้ายล่าง) วิเชียรมาศ, (ขวาบน) มาเลศ, (ขวาล่าง) ศุภลักษณ์
  1. วิเชียรมาศ เมื่อแรกเกิดมีขนสีขาวหมด พอโตขึ้นจะมีสีเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อน ๆ แต่ที่หน้า หาง เท้าทั้งสี่หูทั้งสองข้าง และที่อวัยวะเพศอีก 1 แห่งรวมเก้าแห่งมีสีน้ำตาล (สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกายสีฟ้าสดใส เลี้ยงไว้มีคุณค่ายิ่งลำนักหนา จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูล
  2. ศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง สีขนเป็นสีทองแดงตลอดตัว มีนัยน์ตาเป็นประกาย ใครเลี่ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นอำมาตย์มนตรี
  3. มาเลศ หรือ แมวโคราช หรือ สีสวาด มีขนสีดอกเลาเปรียบเสมือนกับเมฆสีเทายามฟ้ายับฝน มีนัยน์ตาหยาดเยิ้มประหนึ่งนำค้างย้ยต้องกลีบบัว ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำมาซึ่งสุขสวัสดิ์มงคล
  4. โกนจา หรือ ดำปลอด มีสีดำละเอียด นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม หางเรียวยาว ท่าทางการเดินสง่าเหมือนสิงโต แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย
  5. นิลรัตน์ สีดำทั้งตัว รวมถึงเล็บ ลิ้น ฟัน ดวงตา และกระดูก หางยาวตวัดได้จนถึงหัว เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย
  6. วิลาศ มีลำตัวสีดำจากคอไปตลอดท้อง จากสองหูไปจนถึงหางและขาทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเขียว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองมากมาย
  7. เก้าแต้ม มีสีขาวเป็นพื้น มีแต้มสีดำเก้าจุดที่คอ หัว ต้นขาหน้าและหลังทั้งสองข้างและที่ท้ายลำตัว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะรุ่งเรืองทางการค้าขาย
  8. รัตนกำพล ตัวขาวเหมือนหอยสังข์ แต่รอบตัวตรงส่วนอกมีลักษณะคล้ายสายคาดสีดำ ตาสีเหลือง เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมียศ ผู้อื่นยำเกรง
  9. นิลจักร มีลำตัวดำสนิท ที่คอมีขนสีขาวอยู่รอบเหมือนกับปลอกคอ เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมีทรัพย์มาก
  10. มุลิลา ลำตัวดำ หูสองข้างมีสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนดอกเบญจมาศ เชื่อว่าแมวชนิดนี้เหมาะกับนักบวชเลี้ยงเพราะช่วยให้มีการเล่าเรียนดีสมปรารถนา
  11. กรอบแว่น หรือ อานม้า มีปานลักษณะอานม้าบนหลัง เชื่อว่าแมวชนิดนี้มีราคาสูงถึงแสนตำลึงทองคำ และให้เกียรติยศแก่เจ้าของ
  12. ปัดเสวตร หรือ ปัดตลอด ตัวมีสีดำเป็นพื้น ตั้งแต่จมูกไปตามแนวสันหลังถึงปลายหางมีสีขาว ตาเหลืองคล้ายกับพลอย หากเลี้ยงไว้จะมีความเจริญมากกว่าคนในสกุลเดียวกันและได้ลาภยศ
  13. กระจอก ไม่กระจอกเหมือนชื่อ ลำตัวกลมมีสีดำ รอบปากมีสีขาว ตาสีเหลือง เลี้ยงแล้วเชื่อกันว่าจะได้ที่ดินเงินทอง ไพร่ก็จะได้เป็นเจ้านายคน
  14. สิงหเสพย์ หรือ โสงหเสพย์ ลำตัวมีสีดำ ที่ปาก รอบคอ จมูกมีสีขาว ตาสีเหลือง ท่าทางเดินสง่าเหมือนสิงโต เลี้ยงแล้วมีสิริมงคล
  15. การเวก ลำตัวสีดำ จมูกสีขาว ตาเป็นประกายสีทอง เชื่อกันว่าภายใน 7 เดือนที่ได้มาเลี้ยงจะได้ยศศักดิ์และลาภจำนวนมาก
  16. จตุบท ตัวสีดำ เท้าทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเหลืองเหมือนดอกโสน เชื่อว่าให้คุณกับคนเลี้ยง แต่ไม่เหมาะกับคนทั่วไป สมควรเลี้ยงแก่บุคคลชั้นสูงหรือราชินิกูลเท่านั้น
  17. แซมเสวตร มีขนสีดำแซมขาว มีขนบางและสั้งรูปร่างเพรียว มีนัยน์ตาดั่งหิ่งห้อย เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย

[แก้] แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด

  1. ทุพลเพศ มีขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ
  2. พรรณพยัคฆ์ หรือ ลายเสือ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง
  3. ปีศาจ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้
  4. หิณโทษ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง
  5. กอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว
  6. เหน็บเสนียด มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ

[แก้] ขาวมณี

ส่วน ขาวมณี หรือ ขาวปลอด นั้นถึงแม้ไม่มีปรากฏในตำราแมวไทย เพราะเชื่อว่าเพิ่งถือกำเนิดในต้นยุครัตนโกสินทร์นี่เอง แต่ก็จัดว่าเป็นแมวไทยมงคลด้วยเหมือนกัน

ประว้ฒวันสุนทรภู่

สิ่งเสพติด

อุปกรณ์สื่อสาร

อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล (Data Communictaion Equipment)
ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น
  • อุปกรณ์รวมสัญญาณ
    VIP

    ลด5% ทุกรายการ อุปกรณ์เสริม iPhone / iPad / iPod Touch /Blackberry / Samsung Galaxy ส่ง EMS ฟรี

    • มัลติเพล็กซ์เซอร์ (Muliplexer)
นิยมเรียกกันว่า มัก (MUX) จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการลดค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูลผ่านสายสื่อสาร โดยจะทำการ รวมข้อมูล (multiplex) จากเครื่องเทอร์มินัลจำนวนหนึ่งเข้าด้วยกัน และส่งผ่านสายสื่อสาร เช่น สายโทรศัพท์ และที่ปลายทาง MUX มักอีกตัวก็จะทำหน้าที่ แยกข้อมูล (demultiplex) ส่งไปยังจุดหมายที่ต้องการ
  • คอนเซนเตรเตอร์ (Concentrator)
นิยมเรียกกันว่า คอนเซน จะเป็นมัลติเพลกเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยจะสามารถทำการเก็บข้อมูลเพื่อส่งต่อ (store and forward) โดยใช้หน่วยความจำ buffer ทำให้สามารถเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ที่มีความเร็วสูงกับความเร็วต่ำได้ รวมทั้งอาจมีการบีบอัดข้อมูล (compress) เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้น
  • ฮับ (Hub)
สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า LAN Concentrator เนื่องจากฮับจะทำหน้าที่เช่นเดียวกับคอนเซน แต่จะมีราคาถูกกว่า นิยมใช้ในเครือข่าย LAN รุ่นใหม่ ๆ โดยใช้อับในการเชื่อมสายสัญญาณจากหลาย ๆ จุดเข้าเป็นจุดเดียวในโทโปโลยีของ LAN แบบ Star เช่น 10BaseT เป็นต้น
ฮับสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
  • Passive Hub เป็นฮับที่ไม่มีการขยายสัญญาณใด ๆ ที่ส่งผ่านมา มีข้อดีคือราคาถูกและไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้า
  • Active Hub ทำหน้าที่เป็นเครื่องทวนซ้ำสัญญาณในตัว นั่นคือจะขยายสัญญาณที่ส่งผ่านมาสามารถทำให้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านสายเคเบิลได้ไกลขึ้น และเนื่องจากต้องทำการขยายสัญญาณทำให้ ต้องใช้พลังงานไฟฟ้าด้วย จึงเป็นข้อเสียที่ต้องมีปลั๊กไฟในการใช้งานเสมอ
  • ฟรอนต์เอนต์โปรเซสเซอร์ (Front-End Processor)
มีหน้าที่การทำงานเช่นเดียวกับคอนเซนเตรเตอร์ แต่โดยปกติจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานนี้โดยเฉพาะเครื่องหนึ่ง ซึ่งจะมีปลายด้านหนึ่งที่ทำการเชื่อมโยงด้วยความเร็วสูงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์หลัก เช่น เมนเฟรม และปลายอีกด้านจะเชื่อมเข้ากับสายสื่อสารและอุปกรณ์อื่น ๆ ฟรอนต์เอนต์โปรเซสเซอร์จะพบมากในระบบขนาดใหญ่ เพื่อช่วยลดภาระในการติดต่อกับอุปกรณ์รอบข้างให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์หลัก (Host)
  • อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่าย
    • เครื่องทวนซ้ำสัญญาณ (Repeater)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Physical Layer ใน OSI Model มีหน้าที่เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อสำหรับขยายสัญญาณให้กับเครือข่าย และไม่รู้จักลักษณะของข้อมูลที่แฝงมากับสัญญาณเลย
  • บริดจ์ (Bridge)
ใช้ในการเชื่อมต่อ วงแลน (LAN Segments) เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LAN ออกไปได้เรื่อย ๆ โดยที่ประสิทธภาพรวมของระบบไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากการติดต่ออของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกัน จะไม่ถูกส่งผ่านบริดจ์ไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ระดับ Data Link Layer ใน OSI Modelทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Ethernet กับ Token Rink เป็นต้น ซึ่งอาจเชื่อมต่อระหว่าง LAN ที่อยู่บริเวณเดียวกันหรือเชื่อม LAN ที่อยู่ ห่างกันผ่านทางสื่อสาธารณะ เช่น สายโทรศัพท์ด้วย บริดจ์ระยะไกล (Remote Bridge) โดยบริดจ์อาจเป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์เฉพาะ หรือซอฟต์แวร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำหนดให้เป็นบริดจ์ก็ได้
  • สวิตซ์ (Switch)
หรือที่นิยมเรียกว่า อีเธอร์เนตสวิตซ์ (Ethernet Switch) จะเป็น บริดจ์แบบหลายช่องทาง (multiport bridge) ที่นิยมใช้ในระบบเครือข่ายแลนแบบ Ethernetเพื่อใช้เชื่อมต่อเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่าย (segment) เข้าด้วยกัน สวิตซ์จะช่วยละการจราจรระหว่างเครือข่ายที่ไม่จำเป็น (ตามคุณสมบัติของบริดจ์) และเนื่องจากการเชื่อมต่อแต่ละช่องทางการะทำอยู่ภายในตัวสวิตซ์เอง ทำให้สามารถทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลในแต่ละเครือข่าย (Switching) ได้อย่างรวดเร็วกว่าการใช้บริดจ์จำนวนหลาย ๆ ตัวเชื่อมต่อกัน
นอกจากนี้ สวิตซ์ยังสามารถใช้เชื่อมเครื่องคอมพวิเตอร์เพียงเครื่องเดียวเข้ากับสวิตซ์ ซึ่งจะทำให้เครื่อง ๆ นั้น สามารถติดต่อกับเซิร์ฟเวอร์ด้วยความเร็วเต็มความสามารถของช่องทางการสื่อสาร เช่น 10 Mbps ในกรณีเป็น 10BaseT เป็นต้น เนื่องจากไม่ต้องทำการแบ่งช่องทางการสื่อสารข้อมูลกับเครื่องอื่น ๆ เลย
  • เราท์เตอร์ (Router)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับที่อยู่สูงกว่าบริดจ์ นั่นคือในระดับ Network Layer ใน OSI Model ทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลเครือข่ายต่างกันและสามารถทำการ กรอง (filter) เลือกเฉพาะชนิดของข้อมูลที่ระบุไว้ว่าให้ผ่านไปได้ ทำให้ช่วยลดปัญหาการจราจรที่คับคั่งของข้อมูล และเพิ่มระดับความปลอดภัยของเครือข่าย นอกจากนี้เราท์เตอร์ยังสามารถหาเส้นทางการส่งข้อมูลที่เหมาะสมให้โดยอัตโนมัติด้วย (ในกรณที่สามารถส่งได้หลายเส้นทาง ) เราท์เตอร์จะเป็นอุปกรณืที่ขึ้นอยู่กับโปรโตคอล นั่นคือในการใช้งานจะต้องเลือกซื้อเราท์เตอร์ที่สนับสนุนโปรโตคอลของเครือข่ายที่ต้องการจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
  • เกทเวย์ (Gateway)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Transport Layer จนถึง Application Layer ของ OSI Model มีหน้าที่ในการเชื่อมต่อและแปลงข้อมูลระหว่างเครือข่ายที่แตกต่างกันทั้งในส่วนของโปรโตคอลและสถาปัตยกรรมของเครือข่าย LAN และระบบ Mainframeหรือเชื่อมระหว่างเครือข่าย SNAของ IBM กับ DECNet ของ DEC เป็นต้น โดยปกติ Gateway มักจะเป็น Software Packageที่ใช้ในงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง (ซึ่งทำให้เครื่องนั้นมีสถานะเป็น Gateway)และมักใช้สำหรับเชื่อม Workstation เข้าสู่เครื่องที่เป็นเครื่องหลัก ทำให้เครื่องที่เป็น Workstationสามารถทำงานติดต่อกับเครื่องหลักได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้อแตกต่างของระบบเลย

การประยุกต์ใช้

การจัดสวนถาดแบบแห้ง

 

สวน(ถาด)ชื้นกับสวน(ถาด)แห้ง คืออะไร 

สวนแห้ง หลายท่านคงสงสัยว่าสวนแห้งคืออะไรแตกต่างจากสวนถาดยังไง แต่ก็อีกหลายท่านที่ยังไม่รู้ว่า สวนถาดคืออะไรเป็นยังไงในบทความนี้ผมจะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจครับ เรามาเริ่มที่ความหมายของสวนถาดกันก่อน
สวนถาดคือ การจัดสวนโดยการลอกเลียนแบบธรรมชาติ หรือใช้จินตนาการของเรานำมาจัดลงในถาด หรือภาชนะที่เราตระเตรียมไว้ ไม่ว่าจะเป็นจานรองกระถาง ภาชนะถาดเซรามิค หรือจะเป็นกระถางดินเผา อยู่ที่ผู้จัดจะเลือกใช้ภาชนะแบบไหน
แล้วสวนชื้นกับสวนแห้งคืออะไร คือสวนถาดรึเปล่า
สวนชื้นคือ การจัดสวนโดยการลอกเลียนแบบธรรมชาติ หรือใช้จินตนาการของเรานำมาจัดลงในถาดหรือภาชนะที่เราเตรียมไว้ โดยใช้ต้นไม้ที่ต้องได้รับการดูแลโดยการรดน้ำทุกวัน
สวนแห้งคือ การจัดสวนโดยการลอกเลียนแบบธรรมชาติ หรือใช้จินตนาการของเรานำมาจัดลงในถาดหรือภาชนะที่เราเตรียมไว้ โดยใช้ต้นไม้ดอกไม้ประดิษฐ์ หรือต้นไม้ที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลโดยการรดน้ำทุกวัน
หลายท่านก็ยังสงสัยอีกว่าแล้วสวนชื้นใช้ต้นไม้อะไรบ้าง แล้วสวนแห้งนอกจอกต้นไม้ดอกไม้ประดิษฐ์แล้วต้นไม้จริงใช้ต้นอะไร เราจะมาดูที่สวนชื้นกันก่อน
สวนชื้น ต้นไม้ที่ใช้นั้นหาได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป จตุจักร สนามหลวง2(แต่แหล่งที่มีขายต้นไม้ที่ไว้จัดสวนถาดโดยเฉพาะคือที่สนามหลวง2 จะมีเยอะสุดครับ มีหลายร้านให้เลือกซื้อ)
ต้นไม้ที่ใช้ จะเป็นพวกตระกูลออม เช่น ออมเงิน ออมทอง ออมนาค ออมพลอย ออมทรัพย์ ออมเพชร
ตระกูลเฟิร์น เราควรเลือกใช้เป็นบางประเภท เพราะเฟิร์น ส่วนใหญ่ชอบดินโปร่ง วัสดุปลูกมักเป็นกากมะพราวสับ ถ้าหากใช้เฟิร์นในการจัด แนะนำเป็น เฟิร์นกนกนารี เฟิร์นสีฟ้า ไม่แนะนำเฟิร์นนาคราช แต่เฟิร์นนาคราช หรือบรรดา ต้นเฟิร์นแนะนำให้ใช้ในการจัดสวนขวดมากกว่าครับ(อย่าพึ่งสงสัยอีกนะครับว่าสวนขวดคืออะไร หากสงสัยอ่านบทความนี้ให้จบก่อน แล้วค่อยไปดูในหมวดของบทความสวนขวดครับ) เพราะอย่างที่บอก ต้นเฟิร์นชอบดินโปร่ง (เดี๋ยวไว้อธิบายให้ฟังในบทความสวนขวดครับ)
พรมออสเตเลีย พรมออสเตเลียแดง
ไผ่กวนอิมทอง ไผ่กวนอิมเงิน
ไข่มุก
สัปปะรดสี(ส่วนใหญ่จะใช้ต้นเล็กๆ) จะมีหลายพันธุ์หลายสีครับ
เล็บครุฑแคระ (หากนำมาจัดในสวนถาดแล้วควรได้รับแสงแดดรำไร ชอบให้เรารดน้ำเป็นเวลา)
ริบบิ้นเขียว ริบบิ้นแดง (มีดอกชอบแดด ออกดอกทุกวันและดอกโรยทุกวัน)
(เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันครับเพราะมันมีเยอะ) นี่ก็เป็นส่วนนึงของต้นไม้ที่ไว้ใช้จัดสวนถาด ทีนี้เรามาดูทำความรู้จักรกับต้นไม้ที่ที่ใช้จัดสวนแห้งกัน
ต้นไม้ที่ไว้ใช้จัดสวนแห้ง จะเป็นตระกูลตระบองเพชรต่างๆ และกุหลาบหิน
ถามว่าดูแลยังไง อย่างที่รู้กันครับ ตระบองเพชรสามารถรดน้ำอาทิตย์ละครั้งยังได้ ตระบองเพชรเลี้ยงไม่ยาก อยากให้ออกดอกเราก็แค่ใส่ปุ๋ยเร่งดอก แต่ถ้าลงมาอยู่ในสวนถาดแล้ว แล้วไม่จำเป็นต้องใส่ ถ้าหากอยากใส่ให้ใช้เป็นปุ๋ยน้ำพ่นฉีดจะดีกว่าครับ ถ้าเป็นปุ๋ยเม็ดจะทำให้ภูมิทัศน์ที่เราจัดเสียได้
ครับปัญหาของสวนแห้งคือ กุกลาบหิน กุหลาบหินนั้นก็เป็นตระกูลเดียวกับตระบองเพชร เพียงแต่ควรได้รับการเอาใจใส่มากกว่าตระบองเพชร ถ้าให้อธิบายเรื่องการดูแลนั้น เยอะครับ ถ้าสั้นๆนั้น หากเราเลือกใช้กุหลาบหินในการจัดสิ่งสำคัญที่สุดคือ ดิน ดินต้องแห้งและไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้ดินมีความชื้นเลย เพราะหากเกิดความชื้นเพียงนิดรากมันจะเน่า ต้นก็จะเน่าและตายไป วิธีสังเกตุอาการ คือใบมันจะเริ่มล่วง แม้เราไปแตะใบของเค้าเพียงนิดเดียวใบเค้าก็จะล่วงลงมานี่คืออาการเริ่มต้นของต้นเน่า บางพันธุ์ ใบก็จะเริ่มออกสีช้ำ และก็จะดำขึ้นจากล่างขึ้นบน จากกลางลำต้นแล้วก็กระจายไป เพราะฉะนั้น ดินคือสิ่งสำคัญ ใช้ดินอะไร ดินแห้งๆครับดินใบก้ามปูที่แห้งๆ เราอาจผสมกับหินกรวดเยอะๆ หรือผสมทรายน้ำจืดเยอะๆ ถ้าให้ดีเอาถ่านเล็กลงก่อนแล้วค่อยตามด้วยดินผสมทรายน้ำจืด และตามด้วยหินกรวดโรยด้านบน สงสัยใช่ไหมครับ ท่านที่เคยซื้อตะบองเพชรมา ทำไมเค้าถึงต้องโรยหินกรวดด้วย ไม่ใช่เพราะความสวยอะไรหรอกครับ เพื่อให้ดินระเหยเร็ว หินจะช่วยดูดความร้อนจากแสงแดด และเวลาเรารดน้ำควรใช้ที่ฉีดน้ำแบบฝอยๆ หากเราไม่มีใช้ฟ็อกกี้ปรับหัวฉีดให้เป็นฝอยก็ได้ครับ ฉีดให้เปียกก็เพียงพอแล้วครับ
เอาเป็นว่าสั้นๆแค่นี้ก่อนครับ เพราะการดูแลนั้นต้องเอาใจใส่ และต้องระวังเรื่องสภาพอากาศด้วยครับกับเจ้ากุหลาบหิน ทีนี้เรามาเข้าเรื่องสวนถาดชื้นกับสวนแห้งกันต่อ
ยังมีคำถามอีกคำถามหนึ่งว่า ราคาจะแตกต่างกันไหม
คำตอบคือ แตกต่างกันแน่นอนครับ สวนแห้งใช้ตะบองเพชรกับกุหลาบหิน ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันอยู่แล้วสำหรับตัวต้นไม้
สวนชื้น ต้นไม้หาซื้อก็ง่ายราคาต้นไม้ก็ถูก เพราะฉะนั้นราคาสวนชื้นก็จะถูกกว่า
แต่ยังมีคนถามอีกว่า ไม่จริงยังเห็นสวนชื้นขนาดถาดเท่ากับสวนแห้งแต่ราคาเท่ากันเลย ตรงนั้นอาจเป็นเพราะการออกแบบการจัด ตัวต้นไม้เพราะต้นไท่จัดสวนชื้นส่วนใหญ่จะราคาราวๆ 20บาท แต่บางชนิดอาจแพงกว่านั้น เช่นพวกมะสัง ชาฮกเกี้ยน เป็นต้น แต่เราเป็นคนซื้อก็จะเห็นความแตกต่างครับ
ของจะมีคุณค่าได้ไม่ใช่อยู่ที่ราคา อยู่ว่าเราจะนำเค้ามาใช้ในประโยชน์อะไร เพียงแค่ว่าต้นไม้นั้นมีความสวยอยู่แล้วในตัวเค้า เราแค่เอาเค้ามาจัดลงในถาดให้เหมาะสม นำมาจัดตามจินตนาการเรา เท่านี้สวนถาดที่เราจัดก็สวยได้ง่ายๆแล้ว

นวดแผนไทย

ความเป็นมา นวดแผนไทย

เมื่อพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ผ่านมาทางประเทศจีน และเข้ามาสู่เมืองไทย โดยการนำ ของพระสงฆ์ หลักฐานการนวดที่เก่าแก่ที่สุดคือ ศิลาจารึก ที่ขุดพบที่ป่ามะม่วง ในสมัย พ่อขุนรามคำแหง
ในสมัยโบราณนั้น ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ และการนวดของไทย จะสั่งสอนสืบต่อกัน เป็นทอด ๆ โดยครูจะรับศิษย์ไว้ แล้วค่อยสั่งค่อยสอนให้จดจำความรู้ต่าง ๆ ซึ่งความรู้ ที่สืบทอดกันมานั้น อาจเพิ่มขึ้น สูญหาย หรือผิดแปลกไปบ้าง ตามความสามารถของครู และศิษย์ที่สืบทอดกันมา
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช การแพทย์แผนไทยนั้น เจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนวดแผนไทย จากหลักฐานทำเนียบศักดินา ข้าราชการฝ่ายทหาร และพลเรือน ทรงโปรดให้มีการ แต่งตั้งกรมหมอนวด ให้บรรดาศักดิ์เป็นปลัดฝ่ายขวา มีศักดินา 300 ไร่ ฝ่ายซ้ายมีศักดินา 400 ไร่ หลักฐานจากจดหมายเหตุราชฑูตลาลูแบร์ ประเทศฝรั่งเศส ในบันทึกเรื่องหมอนวดในแผ่นดินสยาม มีความว่า "ในกรุงสยาม นั้น ถ้ามีใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มทำเส้นสายยืด โดยผู้ชำนาญทางนี้ ขึ้นไปบนร่างกายคนไข้แล้วใช้เท้าเหยียบ"
ในสมัยรัตนโกสินทร์ การแพทย์แผนไทยได้สืบทอดมาจากสมัยอยุธยา แต่เอกสารและวิชาความรู้บางส่วน สูญหายไปในช่วง ภาวะสงคราม ทั้งยังถูกจับเป็นเชลยส่วนหนึ่ง เหลือหมอพระตามหัวเมืองจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดให้ระดมปั้นรูปฤาษีดัดตน 80 ท่า และจารึกสรรพวิชาการนวดไทย ลงบนแผ่นหินอ่อน 60 ภาพ แสดงจุดนวดต่าง ๆ อย่างละเอียด ประดับบนผนังศาลาราย และบนเสาภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาโดยทั่วกัน
ต่อมาใน พ.ศ.2375 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ ทรงให้ หล่อรูปฤษีดัดตน เป็นโลหะ และทรงให้รวบรวมตำราการนวด และตำราการแพทย์ จารึกในวัดโพธิ์ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชน ทั่วไปศึกษา และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ใน พ.ศ. 2397 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้หมอนวดและหมอยา ถวายการรักษาความเจ็บป่วยยาม ทรงพระประชวร แม้เสด็จประพาสแห่งใด ต้องมีหมอนวดถวายงานทุกครั้ง
ใน พ.ศ. 2499 พระบาทสมเด็จพระปิยะมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯให้แพทย์หลวงทำการสังคายนา และแปลตำราแพทย์จาก ภาษาบาลี และสันสกฤตเป็นภาษาไทย เรียกว่าตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ (ฉบับหลวง)

ประเภทของการนวดแผนไทย

การนวดแผนไทย ทำให้สุขภาพดี ผ่อนคลาย ซึ่งแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่

1. นวดน้ำมัน
การนวดร่างกายโดยใช้น้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เช่น โจโจบา อัลมอนด์ และกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลาย และคลายเครียด ด้วยกลิ่นหอม เฉพาะทางที่ใช้ในการบำบัดอาการให้เบาบางลง เช่น อาการนอนไม่หลับ อาการเครียด หดหู่ นอกจากนี้น้ำมันบริสุทธิ์ยังช่วยบำรุงผิว และกระชับรูปร่าง ทำให้กล้ามเนื้อไม่ หย่อนยาน สลายไขมันตามร่างกาย ความร้อนของน้ำมันที่เกิดจากการนวด จะซึมซาบ ลึกเข้าไปผิวหนังและกล้ามเนื้อ ช่วยให้รู้สึกเบาสบายตัว

2. นวดผ่อนคลาย
การนวดผ่อนคลาย เป็นการนวดที่ถูกสุขลักษณะตามแบบแผนไทยโบราณ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิด การไหลเวียนของเลือดลม คลายกล้ามเนื้อที่ล้า รักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย คลายเครียด เคล็ดขัดยอก ช่วยให้สุขภาพ กระปรี้กระเปร่า จิตใจผ่อนคลาย

3. นวดฝ่าเท้า
การนวดเฝ่าเท้า นวดเท้า เป็นการปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยให้ระบบการไหวเวียนไปยังอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีการขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ ปรับสภาวะสมดุลของร่างกายทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น

4. นวดสปอร์ท
การออกกำลังกายอย่างหักโหมจนเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน หรืออาการล้า การนวดสปอร์ท จึงเป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อดังกล่าว ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

5. นวดจับเส้น
การนวดเพื่อบำบัดอาการปวดเมื่อยเฉพาะจุด หรือตามข้อต่อ การยึดติดของพังผืดของร่างกายให้ทุเลา ผ่อนคลาย

6. นวดสลายไขมัน - อโรมา
เป็นการนวดน้ำมัน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย

7. นวด - ประคบ
เป็นการใช้ลูกประคบสมุนไพร ประคบตามร่างกาย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงหรือเครียดให้สบาย

8. นวด - ไมเกรน
เป็นการนวดเพื่อแก้อาการปวดศีรษะ โดยจะกดจุดบริเวณศีรษะที่ปวด

วิธีการนวดแผนไทย

การนวดแผนไทย ทำให้สุขภาพดี ผ่อนคลาย ซึ่งแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่

1. การกด
เป็นการใช้น้ำหนักกดบนเส้นพลังงานบนกล้ามเนื้อโดยใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วโป้งกดนวด เป็นวงกลม , ฝ่ามือกดเป็นวงกลม และกดเส้นพลังงานและ ใช้น้ำหนักตัวกด นิ้วและหัวแม่มือ หัวเข่า ฝ่าเท้า ทำการยืดเส้น ทำให้หลอดเลือดขยาย การไหลเวียนของเลือด ระบบประสาร การทำงานของอวัยวะต่างๆดีขึ้น

2. การบีบ
เป็นการใช้น้ำหนัก บีบกล้ามเนื้อให้เต็มฝ่ามือเข้าหากันโดยการออกแรง สามารถ ใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยหรือการประสานมือเพือเพ่ิมการออกแรง เป็นการเพิ่มการหมุนเวียนของเลือด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

3. การทุบ/ตบ/สับ
ใช้มือและกำปั้นทุบกล้ามเนื้อเบาๆเป็นการผ่อนคลายการตึงของกล้ามเนื้อและให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้นและเป็นการช่วยขจัดของเสียออกจาก ร่างกาย

4. การคลึง
เป็นการใช้น้ำหนักกดคลึงบริเวณกล้ามเนื้อโดยการหมุนแขนให้กล้ามเนื้้อเคลื่่อนหรือคลึงเป็นวงกลม ใช้แรงมากกว่าการใช้ข้อศอก

5. การถู
โดยใช้น้ำหนักนวดถูไปมา หรือวนไปมาเป็นวงกลม บนกล้ามเนื้อเพื่อช่วยผ่อนคลายยอาการปวดเมื่อยเฉพาะจุด หรือตามข้อต่อต่างๆ

6. การหมุน
โดยการออกแรงหมุนข้อต่อกระดูกวนเป็นวงกลม ช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อทำงานดีขึ้น ผ่อนคลาย

7. การกลิ้ง
เป็นการใช้ข้อศอกและแขนท่อนล่าง กดแรงๆในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่นต้นขา

8. การสั่น/เขย่า
ใช้มือเขย่าขาหรือแขนของผู้ถูกนวด เพื่อช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว

9. การบิด
ลักษณะคล้ายการหมุน แต่เป็นการออกแรงบิดกล้ามเนื้อกับข้อต่อให้ ยืดขยายออกไปในแนวทแยง ทำให้กล้ามเนื้อยืด

10. การลั่นข้อต่อ
เป็นการออกแรงยืดข้อต่อให้เกิดเสียงดังลั่น ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อทำงานดีขึ้น

11. การยืดดัดตัว
โดยใช้ฝ่าเท้า เป็นการออกแรงยืดกล้ามเนื้อข้อต่อให้ยืดขยายออกไปทางยาว ช่วยให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นยืดคลายตัว

12. การหยุดการไหลเวียนของเลือด
ใช้ฝ่ามือกดที่จุดชีพจรที่โคนขาเพื่อหยุดการไหลเวียนของเลือดชั่วขณะกดไว้ประมาณครึ่่งถึง1นาทีแล้วค่อยๆปล่อยช้าเพื่อให้เลือด กลับหมุนเวียนดีขื้น

การทำข้าวมันไก่

สูตรข้าวมันไก่
(ข้าวมันไก่ตอน...สร้างรายได้..)สูตรบ้านอาจารย์...การทำข้าวมันไก่ในปัจจุบันมีหลายสูตรที่แตกต่างกันไป  บางสูตรที่ทำอร่อยก็ทำขายจนตั้งตัวได้...หรือทำเป็นระบบแฟรนไชส์..ก็มีมาก  แต่วันนี้จะเป็นสูตรที่มีชื่อเช่นกันครับ...เพราะเป็นสูตรที่หลายๆท่านได้ทำขายจนร่ำรวยมาแล้ว..จึงนำมาเปิดเผย...เป็นวิทยาทาน...(เพราะหลายๆท่าน อยากที่จะทำแต่หาสูตรการทำไม่ได้..)
- ขั้นตอนการทำมี 3 -4 ขั้นตอนด้วยกันคือ...1.การทำไก่ หรือการต้มไก่ ให้ถูกวิธี..ไม่ให้เนื้อไก่แตกและจืดเกินไป...รวมถึงการต้มเลือดไก่,และเครื่องในไก่,  2.การเจียวมันไก่หอม ใว้ใช้หุงข้าวมัน,(เก็บใว้ใช้ได้..) 3. ขั้นตอนการหุงข้าวมันไก่...4. สูตรการทำน้ำจิ้มไก่สามรส...(ทุกขั้นตอนสำคัญทั้งหมด...เราต้องเรียนให้รู้จริงเพื่อที่จะปฎิบัติจริงได้..ทำขายประกอบเป็นอาชีพได้ครับ...)
   "การทำไก่,การต้มไก่."    เลือกซื้อไก่ตอนที่ตลาด...(ขนาดตามชอบ..2-4ก.ก.)นำมาผ่าท้องล้วงเอาใส้และเครื่องในออกให้หมด  แล้วล้างไก่ให้สะอาด 2-3 น้ำ    แล้วใช้เกลือป่นประมาณ ครึ่งห่อ...นำมานวดและทาให้ทั่วตัวไก่ทั้งนอกและในตัวไก่...(นวดเบาๆ..เป็นการล้างเอากลิ่นสาปของไก่ออก..)แล้วนำมาล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้ง..2-3 รอบ แล้วพักทิ้งใว้ให้สะเด็ดน้ำ...   - (หมายเหตุ) ก่อนหน้านั้น..ก่อนทำไก่..ให้เราต้มน้ำร้อนให้เดือดจัด...(ใช้หม้อเบอร์ 45 " นิ้ว-ใส่น้ำ 3/4 ของหม้อ..หรือค่อนหม้อ..
)หรือโดยประมาณ...ให้ใส่ไก่ลงลวกหรือต้มได้ครับ...
หลังจากที่น้ำเดือดแล้ว...และเราทำไก่เสร็จแล้ว...ให้นำเอาไก่ลงไปลวกน้ำร้อน โดยการจุ่มตัวไก่ลงไปให้จมทั้งตัว...สักพักแล้วยกขึ้น เทเอาน้ำในท้องไก่ออกด้วยครับ...ให้ทำซ้ำๆ..คือให้ลวกไก่แบบนี้ประมาณ 25-30 ครั้ง(แล้วแต่ไก่ตัวเล็กหรือตัวใหญ่...)2-3 ก.ก. 20 ครั้ง   -3-4 ก.ก. 30 ครั้ง 4.5ก.ก.ขึ้นไป 35 ครั้งครับ...
  -ลวกไก่เสร็จแล้ว...ให้เรานำไก่ลงต้มได้เลยครับในหม้อใบเดิม...โดย ใส่เกลือ 5 ช.ต.พูล + น้ำตาลทราย 5 ช.ต.พูล เท่ากัน +ใบเตย5-10 ใบมัด +กระเทียมเป็นหัวๆ 2 หัว ไม่ต้องทุบ..+ขิงหั่นเป็นแว่นๆ 5-9 แว่น ใส่ลงไปในหม้อต้มไก่(หรี่ไฟลงปลานกลาง อย่าให้น้ำเดือดปุด...)ใช้เวลาในการต้มสุกประมาณ 35-40 นาที...สังเกตุ..ถ้าไก่สุกไก่จะลอยขึ้นมาบนน้ำ...ถ้ายังจมอยู่แสดงว่าไก่ยังไม่สุกครับ....เมื่อไก่สุกแล้วให้นำขึ้นมาวางใว้บนภาชนะหรือถาดที่รองรับน้ำไก่ได้เพื่อเตรียมทำขั้นตอนต่อไป...     -ขั้นตอนต่อไปคือ...ให้เราเตรียมหม้อเล็กๆ 1 ใบ แล้วตักเอาน้ำมันไก่ที่ลอยอยู่บนเหนือผิวน้ำที่เราต้มไก่มาใส่ใว้ในหม้อ..(ช้อนเอาแต่น้ำมัน แต่ถ้าน้ำติดมาด้วยก็ไม่เป็นไรครับ...)ส่วนน้ำต้มไก่ที่เหลือให้เก็บใว้ทำน้ำซุปครับ...
เมื่อเราได้น้ำมันไก่มาแล้ว..ให้เราเติมเกลือ 5 ช.ต.พูลๆ และ ผงชูรส ประมาณ 5 ช.ช. ลงไปในน้ำมันคนให้เข้ากันจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน   (แล้วนำไปลาดบนตัวไก่ให้ทั่วทั้งนอกและใน...หรือเทใส่ลงไปในท้องไก่ทิ้งใว้สักพัก...แล้วเทออก นำมาทาที่ตัวไก่ให้ทั่ว )หลังจากนั้นให้เทน้ำมันไก่ที่เหลือคืนกลับหม้อเล็กเหมือนเดิม เก็บใว้ลาดเครื่องในไก่,และเลือดไก่ต่อไปครับ.
 (การต้มเครื่องใน และเลือดไก่...)ให้เตรียมหม้อต้มน้ำ พร้อมใส่เลือดไก่ลงไปต้มพร้อมๆกัน จนน้ำเดือด ให้เรานำเครืองในไก่ ใส่ลงไปจับเวลาประมาณ 15 นาที ยกลง เทใส่ถาด แล้วลาดด้วยน้ำมันที่เตรียมใว้ ลาดทั้งเลือดและ เครื่องใน...แล้วเทน้ำมันกลับใส่หม้อเหมือนเดิม...(ให้นำน้ำมันที่เหลือทั้งหมด...มาเทใส่ลงในหม้อน้ำต้มไก่ในครั้งแรกเพื่อทำเป็นน้ำซุป...ต่อไป...)ถ้าน้ำมันลอยขึ้นมามากเกินไป ให้เราชอนออกไปบ้างก็ได้ครับ...
(การทำน้ำซุป)ยกหม้อน้ำต้มไก่ขึ้นตั้งไฟ หั่นฟักใส่ลงไปเป็นชิ้นๆ ตามชอบ...พอควร..ใส่รากผักชี 6-7 รากลงไปในหม้อ...ตามด้วยพริกไทยป่น 4 ช.ช.  ต้มและเคี่ยวไฟอ่อนๆ ใว้เป็นน้ำซุปเวลาขาย...(ลดหรือเพื่มน้ำได้ตามชอบครับ...)
 (การเจียวน้ำมันไก่หอมใว้หุงข้าวมันไก่)   วิธีทำ..ซื้อมันไก่ตอน 2 ก.ก.   นำมาตั้งไฟให้น้ำมันละลาย (ใส่ใบเตย 8-10 ใบ มัด ใส่ลงไป เจียวกับน้ำมัน) จนกากมันไก่แห้งได้ที่ ชอนกากขึ้น - แล้วนำหอมแดงหั่นเป็นแว่นๆทั้งเปลือกก็ได้..ประมาณ 1 ขีด ใส่ลงไปทอดให้พอเหลืองแห้ง..มีกลิ่นหอม ให้ตักกากหอมขึ้น ปิดไฟ พักน้ำมันให้เย็น ใส่ภาชนะเก็บใว้ใช้หุงข้าวมันไก่ต่อไป...
 ( การหุงข้าวมันไก่...) ใช้ข้าวหอมมะลิ 100 % ข้าวหอม 1 ก.ก. /ต่อน้ำที่หุง 1.5 ก.ก. ยืดหยุ่นได้ครับตามชอบ...(ข้าวเก่า ให้เพิ่มน้ำอีกนิดหน่อย..)-(ส่วนถ้าเป็นข้าวหอมใหม่ๆ ให้ลดน้ำนิดหน่อยครับ..)
 การหุงข้าว..โดยใช้หม้อไฟฟ้า....(เตรียม)1. ข้าวหอมมะลิ   1.5  ก.ก.  2. น้ำมันเจียวหอม  1 ถ้วย    3. กระเทียมบดละเอียด 1/2  ขีด(เอาเปลือกออก) 4. ขิง+ข่า หั่นเป็นแว่นๆ รวมกัน 1/2 ขีด +หอมแดง 2 หัวทุบพอแตก  -ขั้นตอนต่อไป...(ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันเจียวหอมลงไป ตามด้วยกระเทียมบด+ขิง+ข่า+หอม ลงไปคั่วในกระทะพอหอม ตามด้วยข้าวสาร 1.5 ก.ก.(ไม่ต้องซาวน้ำ) ผัดให้เข้ากันพอหอม...นำมาเทใส่ลงในหม้อข้าว..แล้วตามด้วยน้ำซุปร้อนที่เตรียมใว้เทใส่รวมลงไป...กดสวิชหุงข้าว  เปิดฝาหม้อใว้ก่อน...คนทุกๆ 5 นาที เพื่อไม่ให้ติดก้นหม้อ...รอจนน้ำภายในหม้อใกล้แห้ง...ให้เราเติมน้ำเปล่าลงไปอีก 1/2 ถ้วย แล้วใช้พายไม้...คนให้เข้ากัน  (แล้วปิดฝาหม้อ..รอจนหม้อข้าวเด็ง...)ทิ้งใว้อีก 15 นาที... นำออกมาขายได้...
 (เตรียมส่วนของน้ำที่จะหุงข้าว)  น้ำ 2.3 ก.ก.+ใบเตย 5-8ใบมัด ต้มให้เดือด(แล้วนำเอาใบเตยออก)+ เกลือ 1 ช.ต.พูล +ผงคะนอร์ห่อเล็ก หรือ (ซุปคะนอร์ก้อน1-2 ก้อน )+น้ำตาลกรวด 2 ช.ต.พูล หรือ 2ก้อนหัวแม่มือ...ใส่ลงไปในน้ำทั้งหมด ต้มให้เดือด...เตรียมใว้ใช้หุงข้าวต่อไป....(สูตรการทำน้ำจิ้ม 3 รสข้าวมันไก่..)(เก็บใว้ได้ 20-30 วัน ) -(น้ำเปล่าว 1/2   ลิตร +ใบเตย 10 ใบ  +น้ำตาลทราย 3 ขีด  + น้ำตาลปี๊บอย่างดี    1/2  ก.ก. )นำไปต้มให้เดือดเป็นน้ำเชื่อม เคี่ยวไฟอ่อนๆรอจนใบเตยออกเป็นสีเหลือง ชอนในเตยออก  ทิ้งใว้ให้เย็น...เป็นน้ำเชื่อม...   
- ขิงแก่ (ออกสีน้ำตาล) 1.2  ก.ก. (1ก.ก.กับอีก2 ขีด)  (ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมใว้)
-เต้าเจี๊ยวบด สูตร 1                               1      ก.ก.
-ซีอิ๊วดำ หวาน(ตราเด็กสมบูรณ์ สูตร1) 1/2   ถ้วย
-ซีอิ๊วขาว(ง่วนเชียงสูตร 4 )                   2.5  ขวด(2ขวดครึ่ง)
-น้ำส้มสายชู ตรา อ.ส.ร.                        1     ขวด กับอีก 1/2  ถ้วย
-พริกขี้หนูแดงสด                                  1/2  ก.ก.(ปั่นพอหยาบ)
-กระเทียมแห้งบดระเอียด(ทั้งเปลือก)     2   ขีด
-เนื้อกระเทียมดองบดละเอียด(เนื้อ)       1    ขีด(พร้อมน้ำกระเทียมดอง 1/2 ถ้วย )
-ผงชูรส,                                                 5    ช้อนกาแฟ
  วิธีทำ...   1.- นำภาชนะใส่น้ำเชื่อมที่เตรียมใว้... 2. -ให้ใส่น้ำส้มสายชู (อ.ส.ร. )ลงไป 1/2 ถ้วย  + น้ำกระเทียมดอง 1/2 ถ้วย  คนให้เข้ากัน
    3.- บดกระเทียมดอง   1  ขีด (เอาแต่เนื้อ) + กระเทียมแห้ง  2  ขีด (เวลาที่เราบดโดยใช้เครื่องปั่น...ให้ใช้น้ำซีอิ๊วขาว(ง่วนเชียง)เป็นตัวช่วยโดยเติมนิดหน่อยให้พอที่จะปั่นได้...- เมื่อเราปั่นกระเทียมหมดแล้ว...ให้เราปั่นขิง 1.2 ก.ก. ต่อได้เลย โดยใช้ซีอิ๊วขาวใส่นิดหน่อยพอปั่นได้...เมื่อปั่นหมดทั้ง 3 อย่างแล้ว ให้นำซีอิ๊วที่เหลือเทลงไปรวมกันทั้งหมด...พักใว้...
     4.- ปั่นพริกขี้หนูแดง   1/2   ก.ก. ที่เตรียมใว้ให้พอละเอียด  -โดยใส่น้ำส้ม (อ.ส.ร.)  1  ขวด แทนน้ำ+ใส่ซีอิ๊วดำลงไป  1/2  ถ้วย  + ผงขูรส 5 ช้อนกาแฟเล็ก...+เต้าเจี้ยวบด 1 ก.ก. (คนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมดเป็นใช้ได้...) ให้เราแบ่งใว้ เป็น 3 ส่วน ใส่โหลเก็บใว้เท่าๆกัน    เวลาที่จะนำมาใช้งาน...(น้ำจิ้ม 1 ส่วน ให้เราผสมกับน้ำซุปประมาณ 1 ถ้วยครึ่ง...คนให้เข้ากัน...)แล้วนำมาใช้งานได้ครับ....ขอให้ร่ำรวยในอาชีพใหม่ครับ...  

สถานที่ท่องเที่ยวของไทย

การจัดแจกันดอกไม้


 รูปแบบการจัดดอกไม้

 การจัดดอกไม้โดยทั่ว ๆ ไปแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

ภาพ:Flo3.jpg
        1. การจัดดอกไม้เลียนแบบธรรมชาติ ( เพื่อใช้เอง) เป็นการจัดดอกไม้แบบง่าย ๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้าน โดยอาศัยความเจริญเติบโตของต้นไม้ ดอกไม้ กิ่งไม้ นำมาจัดลงภาชนะ โดยใช้กิ่งไม้ขนาดต่าง ๆ 3 กิ่ง การจัดดอกไม้แบบนี้ นิยมนำหลักการจัดดอกไม้จากประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์
        2. การจัดดอกไม้แบบสากล นิยมจัด 7 รูปแบบ คือ รูปทรงแนวดิ่ง ทรงกลม ทรงสามเหลี่ยมมุมฉากทรงสามเหลี่ยมด้านเท่า ทรงพระจันทร์คว่ำ ทรงพระจันทร์เสี้ยว ทรงตัวเอส
        3. การจัดดอกไม้แบบสมันใหม่ เป็นการจัดดอกไม้ที่มีรูปแบบอิสระ เน้นความหมายของรูปแบบบางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้ดอกไม้แต่อาจใช้วัสดุหรือภาชนะเป็นจุดเด่นเป็นการสร้างความรู้สึกให้ผู้พบเห็น การจัดดอกไม้แบบนี้ยังอาศัยหลักเกณฑ์ สัดส่วนและความสมดุลด้วย

ภาพ:Flo3.jpg

[แก้ไข] รูปแบบการจัดดอกไม้

[แก้ไข] การจัดดอกไม้โดยทั่ว ๆ ไปแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

        1. การจัดดอกไม้เลียนแบบธรรมชาติ ( เพื่อใช้เอง) เป็นการจัดดอกไม้แบบง่าย ๆ เพื่อประดับตกแต่งบ้าน โดยอาศัยความเจริญเติบโตของต้นไม้ ดอกไม้ กิ่งไม้ นำมาจัดลงภาชนะ โดยใช้กิ่งไม้ขนาดต่าง ๆ 3 กิ่ง การจัดดอกไม้แบบนี้ นิยมนำหลักการจัดดอกไม้จากประเทศญี่ปุ่นมาประยุกต์
        2. การจัดดอกไม้แบบสากล นิยมจัด 7 รูปแบบ คือ รูปทรงแนวดิ่ง ทรงกลม ทรงสามเหลี่ยมมุมฉากทรงสามเหลี่ยมด้านเท่า ทรงพระจันทร์คว่ำ ทรงพระจันทร์เสี้ยว ทรงตัวเอส
        3. การจัดดอกไม้แบบสมันใหม่ เป็นการจัดดอกไม้ที่มีรูปแบบอิสระ เน้นความหมายของรูปแบบบางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้ดอกไม้แต่อาจใช้วัสดุหรือภาชนะเป็นจุดเด่นเป็นการสร้างความรู้สึกให้ผู้พบเห็น การจัดดอกไม้แบบนี้ยังอาศัยหลักเกณฑ์ สัดส่วนและความสมดุลด้วย