วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ไม้สัก

ความรู้เกี่ยวกับไม้สัก
ไม้สัก
          
ถิ่นกำเนิดของไม้สัก
            ไม้สัก มีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Teak และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Tectona grandis อยู่ในวงค์ Verbenaceae มีถิ่นกำเนิดอยู่ในตอนใต้ของประเทศอินเดีย พม่า ไทย อินโดนีเซีย และหมู่เกาะอินเดียตะวันออก
           
ไม้สัก เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ และบางส่วนของภาคกลางและตะวันตก คือ ในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สำพูน เชียงราย สำปาง แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย เพชรบูรณ์ และพิจิตรและมีบ้างเล็กน้อยในจังหวัด นครสวรรค์ อุทัยธานี และกาญจนบุรี
           
ไม้สัก ชอบขึ้นตามพื้นที่ที่เป็นภูเขา แต่ในพื้นที่ราบที่น้ำไม่ขังไม้สักก็ขึ้นได้ดีเช่นเดียวกัน ในพื้นที่ที่เป็นดินปนทรายแต่น้ำไม่ขัง ไม้สักมักขึ้นเป็นหมู่ไม้สักล้วน ๆ และมีไม้ขนาดใหญ่ ไม้สักชอบพื้นที่ที่มีชั้นดินลึก การระบายน้ำดี ไม่ชอบดินแข็งและน้ำท่วมขัง
           
ไม้สัก ขึ้นได้ดีในดินที่เกิดจากหินหลายชนิด แต่ความเจริญงอกงามของไม้สักขึ้นอยู่กับความลึก การระบายน้ำ ความชื้น และความอุดมสมบูรณ์ ของดินนั้น ๆ โดยเฉพาะในดินที่เกิดจากหินปูนซึ่งแตกแยกผุผังจนกลายเป็นดินร่วนที่ลึก ไม้สักชอบมากและเจริญเติบโตดีมาก ไม้สักชอบดินที่มีความเป็นกลางและด่างเล็กน้อย ค่า pH ระหว่าง 6.5-7.5 ปริมาณน้ำฝน ระหว่าง 1,200-2,000 มม. ต่อปี ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางไม่เกิน 700 เมตร และมีฤดูแล้งแยกจากฤดูฝนชัดเจนจะทำให้ไม้สักมีลวดลายสวยงาม

ท่านทราบหรือไม่
พระที่นั่งวิมานเมฆเป็นสิ่งปลูกสร้างด้วยไม้สักทั้งหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ลักษณะบางประการ
            ไม้สัก เป็นต้นไม้ผลัดใบ ขนาดใหญ่มีลำต้นเปลา มักมีพูพอน ตอนโคนต้นเรือนยอดกลม สูงเกินกว่า 20 เมตร
           
เปลือก หนา 0.30-1.70 ซม.
สีเทา หรือสีน้ำตาลอ่อนแกมเทา แตกเป็นร่องตื้น ๆ ไปตามทางยาวและหลุดออกเป็นแผ่นบาง ๆ เล็ก ๆ
           
ใบ ใหญ่ ความกว้าง 25-30 ซม. ความยาว 30-40 ซม. รูปใบรีมน หรือรูปไข่กลับ แตกจากกิ่งเป็นคู่ ๆ ท้องใบสากหลังใบสีเขียว แกมเทา เป็นขน
           
ดอก เล็กสีขาวนวล ออกเป็นช่อใหญ่ ๆ ตามปลายกิ่งเริ่มออกดอกเดือน มิถุนายน เป็นต้น
           
ผล ค่อนข้างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 ซม. ผลหนึ่ง ๆ มีเมล็ดใน 1-4 เมล็ด เปลือกแข็งมีขนสั้น ๆ นุ่ม ๆสีน้ำตาล หุ้มอยู่ ผลแก่ในราวเดือน พฤศจิกายน-มกราคม
           
ลักษณะเนื้อไม้ สีเหลืองทอง ถึงสีน้ำตาลแก่ มีลายเป็นเส้นสีน้ำตาลแก่แทรก เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ แข็งปานกลาง เลื่อยใสกบ ตบแต่งง่าย
คุณสมบัติบางประการ
            ไม้สัก ปลวกและมอดไม่ทำอันตราย เพราะในเนื้อไม้สักมีสารเคมีพิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง ชื่อ O-cresyl methyl ether สารเคมีชนิดนี้ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ของกรมป่าไม้ มีคุณสมบัติ เมื่อทาหรืออาบไม้แล้วไม้จะมีความคงทนต่อ ปลวก แมลง เห็ดราได้อย่างดียิ่ง นอกจากนี้ในไม้สักทอง ยังพบว่ามีทองคำปนอยู่ 0.5 ppm. (ไม้สักทอง 26 ต้น มีทองคำหนัก 1 บาท)
            ไม้สัก เป็นไม้เนื้อแข็งตามมาตรฐานของกรมป่าไม้ จากการทดลองตามหลักวิชาการไม้สักมีความแข็งแรงสูงกว่า 1,000 กก./ตร.ซม.
และมีความทนทานตามธรรมชาติ จากการทดลองนำส่วนที่เป็นแก่นของไม้สักไปทดลองปักดิน ปรากฏว่า มีความทนทานตามธรรมชาติเกินกว่า 10 ปี (ระหว่าง 11-18 ปี)
การคัดเลือกแม่ไม้สักทอง
            การคัดเลือกแม่ไม้ (Plus tree) เป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการปรับปรุงพันธุ์ไม้สักทอง ผลจากการคัดเลือกแม่ไม้ จะทำให้ได้สายพันธุ์ของไม้ ที่มีคุณลักษณะดี สำหรับนำไปใช้ในการขยายพันธุ์ ทั้งจากการเพาะด้วยเมล็ดโดยการสร้างสวนเมล็ดพันธุ์ หรือการผลิตกล้าไม้คุณภาพดีแบบ ไม่อาศัยเพศ เช่น การตัดกิ่งปักชำ และ การะเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การมีแม่ไม้ทีดีนั้นอาจเป็นหลักประกันได้ว่า จะให้เมล็ดหรือกล้าไม้ที่ดีสำหรับการ ปลูกสร้างสวนป่าเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถเพิ่มผลผลิตเนื้อไม้ต่อหน่วยเนื้อที่ได้
           
การคัดเลือกแม่ไม้สักทองมีหลักในการพิจารณาอยู่หลายประการ ทั้งการพิจารณาจากลักษณะภายนอก (Phenotypes) และลักษณะภายใน (Genotypes) ลักษณะภายนอกสามารถพิจารณาได้ทันที ตามหลักวิชาการใช้วิธีประเมินค่าลักษณะต่าง ๆ ของต้นไม้ โดยการให้คะแนน ส่วนลักษณะภายในพิจารณาได้ยากเพราะจะต้องมีการโค่นต้นไม้หรือเลื่อยแปรรูปเสียก่อนจึงจะพิจารณาได้ ซึ่งหมายความว่าจะต้องเสียแม่ไม้ที่ให้เมล็ด ไป แต่ถ้าเป็นการตัดกิ่งปักชำ หรือการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เมื่อโค่นแม่ไม้แล้วสามารถใช้หน่อจากต้นตอได้
           
การคัดเลือกแม่ไม้สักทองในประเทศไทย มีลักษณะในการพิจารณากว้าง ๆ ดังนี้
            1.
อายุของต้นไม้
           
ไม้สักทองที่สามารถนำมาทำเป็นแม่ไม้ได้นั้น ควรมีอายุไม่น้อยกว่า 15 ปี ทั้งนี้ เพราะไม้สักทองที่ปลูก จะนำไปใช้ประโยชน์เมื่อมีอายุ ประมาณ 15 ปี ไม่ควรเลือกไม้สักทองที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี เป็นแม่ไม้ ถึงแม้ว่าจะมีขนาดโตตามที่กำหนดไว้ก็ตาม เพราะกล้าไม้ที่ได้จากแม่ไม้ที่มีอายุ น้อยจะไม่แข็งแรงเท่าที่ควร
            2.
ลักษณะของลำต้น
           
ลักษณะภายนอกที่สำคัญประการแรก ในการคัดเลือกไม้สักทอง เพื่อใช้ทำแม่ไม้ ควรคัดเลือกลักษณะของลำต้น ต้องเปลาตรง ไม่บิด คดงอ และกิ่งก้านไม่มาก กล่าวคือ มี clear bole ยาวกว่าต้นอื่น ๆ ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุประสงค์ในการปลูกไม้สักทอง เพื่อใช้ประโยชน์จากลำต้น ไม้สักทองที่มีลำต้นเปลาตรง จะขายได้ราคาแพงกว่าไม้สักทองที่ลำต้นคดงอ
            3.
ขนาดของลำต้น
           
ลักษณะภายนอกที่ควรพิจารณาอันดับต่อไป ก็คือ ขนาดของลำต้น ควรคัดเลือกต้นที่มีขนาดใหญ่กว่าต้นอื่น ๆ ในชั้นอายุเดียวกันซึ่ง ควรมีความโตทางเส้นรอบวงเฉลี่ยปีละไม่น้อยกว่า 7.0 ซ.ม. การคัดเลือกแม่ไม้สักทองโดยพิจารณาความโตเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจาก ต้นไม้ขนาดใหญ่ ย่อมให้ปริมาตรเนื้อไม้ต่อเนื้อที่สูงกว่า และไม้สักทองที่มีความเจริญเติบโตดี จะสามารถถ่ายทอดลักษณะความเจริญเติบโตที่สมบูรณ์แข็งแรงไปยังรุ่น ต่อ ๆ ไปด้วย
            4.
เรือนยอด
           
รูปทรงเรือนยอดต้องเป็นพุ่ม ได้สัดส่วนกับความสูง รัศมีความกว้างของทรงพุ่มรอบเรือนยอดเท่ากัน น้ำหนักเรือนยอดไม่ถ่วงไป ด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ต้นไม้โค่นล้มได้ง่ายเมื่อเกิดลมพัดแรง
            5.
ลักษณะและคุณภาพของเนื้อไม้
           
วัตถุประสงค์ในการปลูกไม้สักทองนั้น นอกจากต้องการต้นไม้ที่รูปทรงดีและโตเร็วแล้ว ยังมีความต้องการเนื้อไม้สักทองที่มีลวดลาย สวยงามด้วย ดังนั้น ต้นสักที่มีลวดลายสวยงามจึงเป็นที่ต้องการและควรคัดเลือกไว้เป็นแม่ไม้
            6.
ความต้านทานโรคและแมลง
           
ปัจจุบัน ปรากฏว่า สวนสักทองของทางราชการและเอกชนที่ปลูกไว้แล้วมีโรคและแมลงรบกวนเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความเสียหาย ที่บริเวณ ลำต้น ใบ กิ่งก้าน เปลือกหรือส่วนอื่น ๆ ดังนั้น การคัดเลือกแม่ไม้ไว้ทำพันธุ์ ต้องไม่ปรากฏว่ามีร่องรอยของโรคและแมลงรบกวนตามส่วน ต่าง ๆ ของลำต้นดังกล่าวแล้ว
            7.
ความสามารถในการแตกหน่อ
           
ความสามารถในการแตกหน่อของไม้สักทอง จะทราบได้ก็ต่อเมื่อมีการโค่นต้นไม้เสียก่อน แต่ก็เป็นผลดีในการปรับปรุงพันธุ์ การขยายพันธุ์โดยวิธีแตกหน่อในรุ่นต่อไป และการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แม่ไม้สักทองควรจะต้องมีการแตกหน่อที่ดีและให้หน่อที่ สมบูรณ์ด้วย
            8.
ความสามารถในการแตกรากของกิ่งปักชำ
           
ลักษณะในข้อนี้ มีความจำเป็นสำหรับการเตรียมกล้าไม้สักทองแบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นการใหม่ที่กำลังได้รับการพัฒนาเพื่อการ ปลูกสร้างสวนสักทอง ที่มีประสิทธิภาพในอนาคต การทดสอบความสามารถของแม่ไม้ในข้อนี้ จำเป็นต้องมีการทดลองเก็บข้อมูลไว้สำหรับการ ปรับปรุงพันธุ์
            9.
ความสามารถในการถ่ายทอดและดำรงพันธุ์
           
แม่พันธุ์ที่ดีต้องให้ลูกไม้ที่มีลักษณะเด่นเหมือนแม่พันธุ์นั้นกล้าไม้รุ่นต่อ ๆ ไปต้องไม่กลายพันธุ์ง่าย สามารถถ่ายทอดลักษณะที่ดี ได้ตลอดไป ลักษณะเช่นนี้จะทราบได้ต้องใช้เวลาในการศึกษาทดลองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตัดสินใจได้
           สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก   สะพานอูเบ็ง เป็นสะพานที่ยาวถึง 2 กิโลเมตร ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน ทางตอนใต้ของเมืองอมรปุระ มุ่งตรงไปสู่เจดีย์เจ๊าต่อจี อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ พระเจ้าปุดงโปรดฯให้ขุนนางนามว่าอูเบ็งเป็นแม่กองงานสร้างสะพานแห่งนี้ โดยใช้ไม้สักที่รื้อจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะจำนวน 1,208 ต้น 

โทรศัพท์เคลื่อนที่

วิทยาศาสตร์

      
         ระบบเศรษฐกิจ   คือ หน่วยเศรษฐกิจและหน่วยธุรกิจรวมตัวกัน  เพื่อดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  ภายใต้รูปแบบของการปกครอง  จารีต  ประเพณี  สังคม วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยตัดสินปัญหาพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจทุกระบบให้บรรลุเป้าหมาย ึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล จะต้องกำหนดรูปแบบทางเศรษฐกิจ  ออกระเบียบข้อบังคับ  และมีวิธีการควบคมการ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้เหมาะสม  และเป็นผลดีต่อประเทศ  
        ระบบเศรษฐกิจ  แบ่งเป็น 4 ระบบใหญ่ ๆ คือ ระบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม จะให้สิทธิแก่เอกชนในการตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่  ระบบสังคมนิยม  จะมีการวางแผนจากส่วนกลาง รัฐจะต้องเป็นผู้กำหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  ระบบคอมมิวนิสต์ ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของรัฐ ภาคเอกชนไม่มีสิทธิเป็นจ้าของปัจจัยการผลิด  และระบบผสม  ส่วนใหญ่เป็นระบบเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ ครัวเรือน ธุรกิจ และรัฐบาล 
          หน้าที่ของแต่ละบุคคลในระบบเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจหน่วยหนึ่ง ๆประกอบด้วยบุคคลจำนวนมาก บุคคลเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ต่างกัน คือ ผู้ผลิตหรือหน่วยธุรกิจ  ทำหน้าที่ในการผลิตสินค้าและบริการ  โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด เจ้าของปัจจัยการผลิต  บุคคลที่มีสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย เช่น ทรัพย์สิน ทุน ที่ดิน แรงงาน มาให้ผู้ผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อให้มีรายได้มากที่สุด  ผู้บริโภค เป็นผู้ใช้สินค้าหรือบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้รับความพอใจในการแลกเปลี่ยนกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สิทธิและเสรีภาพ

  1. สิทธิในชีวิตและร่างกาย ประชาชนสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ได้รับความคุ้มครองในชีวิตและร่างกายตามกฎหมาย โดยห้ามการทรมาน ทารุณกรรม หรือลงโทษด้วยวิธีการที่โหดร้ายโดยไร้มนุษยธรรม
  2. สิทธิในทรัพย์สินส่วนบุคคล ประชาชนจะได้รับความคุ้มครองในทรัพย์สิน การสืบทอดมรดก และการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ จะทำได้โดยพลการไม่ได้ และจะต้องได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากการเวนคืนนั้นอย่างเป็นธรรม
  3. สิทธิในการรับข้อมูลข่าวสารของสาธารณะและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ประชาชนมีสิทธิรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นสาธารณะของหน่วยงานรัฐ และหน่วยงานอื่นๆ มีสิทธิขอข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้องและความเป็นอยู่ ตลอดจนมีสิทธิในการทำประชาพิจารณ์
  4. สิทธิในการแจ้งความร้องทุกข์ ประชาชนมีสิทธิร้องทุกข์ในเรื่องต่างๆ และมีสิทธิฟ้องหน่วยงานของรัฐได้
  5. สิทธิของคนวัยต่างๆ สิทธิของเด็ก คนชรา และคนพิการ จะได้รับความคุ้มครอง โดยเด็กจะได้รับการดูแลและคุ้มครองโดยรัฐจากความโหดร้ายทารุณ คนชราและพิการมีสิทะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐตามความเหมาะสม
  6. สิทธิของผู้บริโภค สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
  7. สิทธิของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญา ศิลปะ และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น และมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาและจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับองค์การปกครองท้องถิ่น
  8. สิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญา ประชาชนจะต้องไม่รับโทษอาญายกเว้นถ้ามีการทำความผิดตามที่กฎหมายระบุไว้
  9. เสรีภาพในการนับถือศาสนา ประชาชนจะเลือกนับถือศาสนาใดก็ได้ที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
  10. เสรีภาพทางการเมือง ประชาชนมีเสรีภาพในการรวมตัวการตั้งพรรคการเมืองตามระบบประชาธิปไตย
  11. เสรีภาพของสื่อมวลชน สื่อมวลชนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสนอข่าวสาร ได้อย่างอิสระ

หุ่นยนต์เพื่อการทำสงคราม

การทำขนมปัง

วัคถุดิบในการทำขนมปัง
ยีสต์

มีหน้าที่ช่วยเพิ่มปริมาตรของขนมปัง ทำให้มีลักษณะเนื้อและโครงสร้างที่ดี มีกลิ่นรสเฉพาะตัว ซึ่งเกิด
จากปฏิกิริยาการหมัก ทำให้เกิดแกสคาร์บอนไดออกไซด์ จากสารประกอบต่าง ๆ ในแป้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำ
ให้แป้งโดขยายตัวใหญ่ขึ้น

ชนิดของยีสต์ที่ใช้ในการทำขนมปัง

ยีสต์สด ต้องเก็บในตู้เย็นและมีอายุการเก็บสั้น
ยีสต์แห้ง แบบละลายน้ำก่อน ยีสต์ชนิดนี้ไม่ต้องเก็บรักษาในตู้เย็น การใช้ละลายในน้ำอุ่นที่ 38 ํ ซ. โดยใช้น้ำ
5 เท่า ของยีสต์ เติมน้ำตาล 10 % ของน้ำหนักยีสต์ เช่น ยีสต์ 10 กรัม น้ำ 50 กรัม น้ำตาล 1 กรัม

ยีสต์แห้งแบบอินสะแตนท์ หรือยีสต์ผง ยีสต์ชนิดนี้ไม่ต้องเก็บรักษาในตู้เย็น เพราะสามารถเก็บรักษาได้ที่
อุณหภูมิห้องธรรมดา เมื่อเปิดใช้แล้วเก็บในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท และช่วยลดเวลาในการผสมของแป้ง

แป้งสาลี

แป้งสาลีที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาดมี 3 ชนิด คือ

แป้งสาลีชนิดหนัก หรือแป้งขนมปัง
แป้งสาลีชนิดธรรมดา หรือแป้งสาลีอเนกประสงค์
แป้งสาลีชนิดเบา หรือแป้งเค้ก

แป้งขนมปังมีโปรตีนสูงกว่า 10.5 % ขึ้นไป และมีเถ้าอยู่ประมาณ 0.40-050 % เนื่องจากแป้งขนมปัง
มีโปรตีนสูง ดังนั้นโดยทั่วไปจะใช้ทำขนมที่ชึ้นฟูด้วยยีสต์ แป้งชนิดนี้มีความสามารถในการดูดซึมน้ำได้สูงใช้
เวลาในการผสมและการหมักนาน ทนต่อความแรงในการผสมได้ดี

ผลการวิเคราะห์แป้งสาลี

เมล็ดข้าวสาลีที่นำมาโม่เป็นแป้งสาลี โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบที่แตกต่างกัน เช่น ปริมาณโปรตีน แต่
องค์ประกอบเหล่านั้นไม่มีผลเนื่องจากการสกัดแป้งสาลีจากเมล็ดข้าวสาลี

แป้งสาลีมีองค์ประกอบดังนี้

ความชื้น 13.0 - 15.0 %
แป้ง 65.0 - 70.0 %
โปรตีน 3.0 - 8.0 %
น้ำตาล 1.0 - 1.5 %
ไขมัน 0.8 - 1.5 %
เซลลูโรส(เล็กน้อย) 0.2 %
แร่ธาตุอื่น ๆ 0.3 - 0.7 %


โปรตีนในแป้งสาลีจะดูดซึมได้อย่างน้อยสองเท่าของน้ำหนักของตัวมันเอง แป้งสาลีที่มีโปรตีนจะมีความ
สามารถในการดูดซึมน้ำได้ดีกว่าแป้งสาลีที่มีโปรตีนด่ำ เมื่อเติมน้ำลงไปในแป้งสาลีแล้วนวด โปรตีนจะเกิดการ
เปลี่ยนแปลงเป็นกลูเต้น แป้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจะถูกเรียกว่า โด หมักโดได้ระยะหนึ่งนำมาล้างน้ำ ส่วน
ประกอบต่าง ๆ จะหลุดออกไปเหลือเพียงส่วนที่เรียกว่ากลูเต้น ซึ่งเป็นโปรตีนที่ยึดหยุ่นได้และเป็นโครงสร้างของ
โด กลูเต้นจะอุ้มก๊าซที่เกิดจากการหมักไว้ ทำให้โดขึ้นฟู นำโดไปอบเมื่อกลูเต้นถูกความร้อนจะแข็งตัว ทำให้เกิด
เป็นโครงสร้างของขนมปัง

ลักษณะสำคัญของแป้งที่ช่างทำขนมปังต้องการ

สี

ในขนมปัง สีของแป้งมีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้เกิดความน่ารับประทาน แป้งสาลีโดยทั่วไปจะมี
สีครีม ซึ่งสามารถทำให้ขาวได้สารฟอกสีหรือการบ่มแป้ง

ความเหนียว

ความเหนียวของแป้งขนมปัง หมายถึงความสามารถในการอุ้มก๊าซที่เกิดขึ้นจากการหมักและการขยายตัว
เป็นก้อนโดได้ มีการดูดซึมน้ำสูง การดูดน้ำหมายถึง ความสามารถในการอุ้มน้ำไว้ในก้อนโดได้มาก ทำให้ได้
ขนมปังเนื้อนุ่ม เพราะมีปริมาณน้ำมาก ถ้าแป้ง 100 กรัม ดูดซึมน้ำได้ 60 กรัม แสดงว่าแป้งนั้นมีความสามารถ
ดูดน้ำได้ 60 % แป้งต่างชนิดกันสามารถดูดน้ำได้ต่างกัน

ความทน

แป้งขนมปังควรมีความทนสูง คือ ทนต่อการผสม และทนต่อการหมัก ทำให้ได้ขนมปังที่มีคุณภาพ

การเก็บรักษาแป้ง

ควรเก็บแป้งในที่ที่มีการถ่ายเทอากาศดี จะทำให้แป้งใหม่อยู่ได้นาน

ห้องเก็บแป้งไม่ควรมีกลิ่นแปลกปลอม เพราะแป้งดูดกลิ่นได้ง่าย น้ำ

น้ำเป็นตัวสำคัญในการทำขนมปัง ช่วยให้เกิดกลูเต้น

หน้าที่ของน้ำในการทำขนมปัง

ทำให้เกิดกลูเต้น
เป็นตัวควบคุมความคงตัวของโด
เป็นตัวละลายส่วนผสมอื่น ๆ ให้เข้ากัน
เป็นตัวช่วยให้ขนมปังชื้น


เกลือ

เกลือ เป็นส่วนผสมที่ถูกที่สุดและใช้น้อยที่สุดในการทำขนมปัง เกลือที่มีคุณภาพดีควรละลายง่าย และได้
สารละลายที่ใส การใช้เกลือในการทำขนมปัง เพื่อ

ทำให้ขนมปังมีกลิ่น และรสชาติดี
ทำให้ระยะเวลาการหมักสม่ำเสมอ
ช่วยให้เนื้อขนมปังขาวขึ้น
เพิ่มความแข็งแรงแก่กลูเต้น
ป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในการหมัก

ไข่

การทำขนมปังหวานจะมีส่วนผสมของไข่รวมอยู่ด้วย ไข่ช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ยังช่วยให้โครง
สร้างของขนมปังดีขึ้น เพิ่มความนุ่มให้กับขนมปัง ทำให้ขนมปังมีสีสวย ซึ่งไข่มีความชื้น 75 % สามารถเก็บ
รักษาความชื้นไว้ในขนมปังได้ ช่วยชลอการแห้ง หรือแข็งตัวของขนมปัง


นม

นมที่นิยมใช้ในการทำขนมปัง คือ นมผงที่สกัดไขมันหรือนมปราศจากไขมันซึ่งมีราคาถูก และสามารถเก็บ
ไว้นาน แต่บางส่วนผสมจะนิยมใช้นมข้นจืด เพราะจะช่วยให้ขนมปังมีความชื้นสูง เนื้อขนมปังจึงนิ่มอยู่ได้นาน


น้ำตาล

การใช้น้ำตาลในการทำขนมปัง เพื่อให้เกิดความหวานและเกิดการหมักขึ้น เพราะน้ำตาลเป็นอาหารของ
ยีสต์


หน้าที่ของน้ำตาลในการทำขนมปัง

ช่วยเพิ่มความทนในการหมัก
ช่วยทำให้ผิวของขนมปังมีสีน่ารับประทาน
เป็นตัวเพิ่มกลิ่น รส และทำให้เกิดความหวาน
มีส่วนช่วยทำให้เนื้อขนมปังนุ่ม


ไขมัน

ไขมันที่ใช้ทำขนมปังมีหลายชนิด เช่น เนยสด มาการีน เนยขาว การใช้ไขมันในขนมปัง เพื่อช่วยให้เกิด
ความนุ่ม และช่วยให้เกิดลักษณะเนื้อขนมปังที่ดี ทั้งช่วยให้มีสี กลิ่น รส


หน้าที่ของไขมันในการทำขนมปัง

ช่วยเพิ่มปริมาตรของขนมปัง
ทำให้เนื้อขนมปังนุ่ม และเป็นใย
ช่วยให้รูพรุนในเนื้อขนมปังให้สม่ำเสมอ
ถ้าใช้ในปริมาณมากขึ้นจะช่วยให้เนื้อ และผิวของขนมปังนุ่ม
ช่วยให้เนื้อของขนมปังเป็นเงา ผิวขนมปังเป็นมัน น่ารับประทาน


ส่วนผสมอื่น

ได้แก่ กลิ่น รส ชนิดต่าง ๆ เช่นวานิลา กาแฟ โกโก้ และผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด เมล็ดมะม่วงหิมพานต์
เชอรี่เชื่อม ฯลฯ ส่วนผสมเหล่านี้จะทำให้กลิ่นรสของขนมปังดีขึ้น และยังเป็นการแยกชนิดของขนมปังได้


ภูมปัญญา

ภูมปัญญา

อาชีพเสริม

อาชีพเสริม

สามารถอ่านเนื้อหาทั้งหมดในส่วนของรายการอาชีพเสริมในหมวด “อาชีพเสริม”

ถ้า รายได้ในกระเป๋าทำให้คุณรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ไหนจะต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ไหนจะต้องกินใช้ แถมไม่มีงานอดิเรกอะไรที่พอจะสร้างรายได้ขึ้นมาจุนเจือ อย่า เพิ่งนั่งท้อแท้ เพราะมีงานฝีมือและอาชีพเสริมหลายอย่าง ที่คุณสามารถพัฒนาจากงานอดิเรกและความชอบให้งอกเงยมาเป็นรายได้ได้อย่างไม่ ยาก ทำขนมส่งร้านเบเกอรี่….อาจ เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับแม่ศรีเรือนหลายคน ที่มักมีพรสวรรค์เรื่องขนมนมเนยและอาหารการกินติดตัวมาอยู่แล้ว แค่ใช้เวลาว่างช่วงเสาร์อาทิตย์หรือเวลาว่าง ทำขนมส่งร้านเบเกอรี่ใกล้บ้าน ตรงนี้ก็อาจจะเป็นแหล่งรายได้เสริมให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนใครที่ไม่ได้พกพาพรสวรรค์ติดตัวมาด้วย ก็อาจต้องลงทุนสักหน่อยลองไปเรียนคอร์สสั้นๆ แล้วหมั่นพัฒนาฝีมือ จากนั้นค่อยหาลู่ทางส่งขนมหรืออาหารให้ร้านเบเกอรี่ 6 300x225 อาชีพเสริม ทำสร้อยร้อยลูกปัด….เป็น อีกงานอดิเรกหนึ่ง ที่ปัจจุบันใครมีฝีไม้ลายมือเกี่ยวกับการทำสร้อยหรือร้อยลูกปัด ก็เป็นหนทางที่จะสร้างรายได้อย่างงดงาม มีโรงเรียนฝึกอาชีพมากมายเปิดสอนคอร์สทำสร้อยร้อยลูกปัดขึ้นมา และได้รับความนิยมไม่น้อย ซ่อมมือถือ&คอมพิวเตอร์….เป็น ธุรกิจเสริมที่เข้ากับยุคสมัย เพราะยุคนี้ใครๆ ก็ใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในปัจจุบันมีโรงเรียนสอนซ่อมคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเปิดให้ บริการกันมากมาย ใครที่สนใจจะยึดเป็นอาชีพเสริมก็ลองหาเวลาว่างไปเรียน รับรองคุ้มค่าแน่ smoothy 250x300 อาชีพเสริม น้ำผลไม้….ด้วย ไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ ที่หันมาใส่ใจกับสุขภาพกันมากขึ้น การทำน้ำผลไม้บรรจุขวดขายจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำรายได้อย่างงดงามให้ กับผู้ขาย มีพนักงานออฟฟิศหลายคนที่ตอนแรกทำแค่เป็นอาชีพเสริม แต่ตอนหลังหันมาเอาดีกับอาชีพนี้อย่างจริงจัง nailpent 300x225 อาชีพเสริม เพนท์เล็บ….เป็น เทรนด์ของผู้หญิงสมัยนี้ที่นิยมแต่งเล็บเพนท์เล็บด้วยลวดลายและสีสันที่แปลก ตา อาชีพเพนท์เล็บจึงดูเหมือนเป็นอาชีพน้องใหม่ที่มาแรงไม่ใช่น้อย เรียกว่าย่านตลาดหรือศูนย์การค้าที่ไหน ก็มักจะมีร้านเพนท์เล็บอยู่ที่นั่น มีพนักงานออฟฟิศจำนวนไม่น้อยที่สร้างรายได้พิเศษจากการไปฝึกหัดเพนท์เล็บ จนบางคนถึงกับเปิดร้านเป็นกิจจะลักษณะ นี่เป็นแค่ตัวอย่างของบางอาชีพเท่านั้น ที่อาจช่วยคุณสร้างรายได้หรือเพิ่มเงินในกระเป๋าสตางค์ให้คุณได้ไม่ยาก

จากใจ..นายแก้จน

ประวัติพระนเรศวร

เมืองโบราณซามาร์รา

"อาหรับราตรีVSมังกรหยก"ที่อุซเบกิสถาน(6)

วันรุ่งขึ้นเป็นวันเดินมาราธอน

เมืองประวัติศาสตร์ซาบิด

ทัชมาฮาล

นครศักดิ์สิทธิ์แห่งแคนดี

ลังกา เพชรเม็ดงามแห่งมหาสมุทรอินเดีย
พร้อมรอผู้คนมาช่วยเจียระไน ร่วมสืบหาร่องรอยอารยะธรรม เผ่าสิงหล ค้นหาเรื่องราวพระพุทธศาสนา ตามรอยพระศาสดา นำพาชมเมืองเก่าแก่มรดกโลก 2,000 ปี กราบไว้เจดีย์พระบรมธาตุ...อันที่จริง ไทยกับศรีลังกา มีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษอย่างต่อเนื่องยาวนานย้อนหลังไปถึงราว 800 ปีพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติของเรา แม้จะสถาปนาขึ้นในแดนดินชมพูทวีป ทว่าการหยั่งรากธรรม คำสอนซึ่งเริ่มต้นขึ้นในแผ่นดินไทยนั้น เรารับตรงมาจาก ศรีลังกา ซึ่งปรากฏหลักฐานทางพงศาวดาร ระบุว่า ศตวรรษที่ 12 พระเจ้าจันทร์ภาณุ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ส่งคณะฑูตเดินทางไป ศรีลังกา เพื่อนิมนต์พระภิกษุมาเจริญพุทธศาสนายังเมืองนครณ ก่อนจะเผยแพร่สู่อาณาจักรสุโขทัย... และนี่คือปฐมที่มาของการเรียกพุทธศาสนาโดยรวมในบ้านเราว่า ลังกาวงศ์
กำหนดการเดินทาง                       11 - 16 มิถุนายน / 15 - 20 กรกฎาคม 2554 
วันแรก           กรุงเทพฯโคลอมโบ

20:55 .        พร้อมคณะที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตูทางออกหมายเลข 9 สายการบิน Sri lankaAirline, ROW T, เจ้าหน้าที่บริษัท ........................คอยต้อนรับพร้อมอำนวยความสะดวกก่อนเดินทาง.
22:50 .        ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ โดยสายการบิน Sri lanka Airline เที่ยวบินที่ UL 425 (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30 ชม.) (เวลาท้องถิ่น ช้ากว่าประเทศไทย 1.30 ชม.)
23:15 .        ถึง สนามบิน โคลอมโบ บันดารานัยเก (ColomboBandaranayike International Airport) เมืองโคลอมโบ (Colombo) ประเทศศรีลังกา หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว นำท่าน สู่เมือง เนกอมโบ
เข้าที่พัก Dinner (1) and Overnight at The Beach Hotel Negombo
อิสระพักผ่อนตามอัธยาศัย

วันสอง           โคลอมโบอนุราธปุระ

อรุณสวัสดิ์ยามเช้า...................เมืองโคลอมโบ นครหลวงของศรีลังกา เป็นศูนย์กลางความเจริญในด้านต่างๆ ตั้งอยู่ริมทะเล ห่างจากแผ่นดินใหญ่ 40 ไมล์ ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะลังกา นอกจากเป็นศูนย์กลางการปกครองแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ ที่สำคัญ
07:00 .        รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารภายในโรงแรม (2)
08:00 .        นำท่านเดินทางสู่ อนุราธปุระ (Anuradhapura) เมืองปฐมราชธานี ระยะทางประมาณ 207กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. อนุราธปุระเป็นราชธานี ตลอดยุคสมัยยาวนานกว่า 10 ศตวรรษ ล้วนผูกศรัทธามั่นอยู่กับพุทธศาสนา ฉะนั้นทั่วพื้นที่อันกว้างใหญ่ จึงเต็มไปด้วยโบราณศาสนสถานสำคัญ ๆ เกือบทั่วทั้งเมือง
12.00 .         รับประทานอาหารกลางวัน (3)
13:00 .        จากนั้นนำชม เมืองอนุราธปุระ นำชม เจดีย์ถูปาราม เจดีย์พุทธศาสนาองค์แรกที่สร้างขึ้นประมาณ พ.. 300 เป็นเจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุดในเกาะลังกา ซึ่งประดิษ ฐานกระดูกพระรากขวัญ (ไหปลาร้า) เบื้องขวาของพระพุทธองค์ จากนั้น นำนมัสการ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะเชื่อกันว่าเป็นหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากพุทธคยาประเทศอินเดีย ถูกนำมาใน พ..235 นำชม โลหะปราสาท ซึ่งเป็น 1 ใน 3 แห่งของโลก อายุกว่า 2,100 ปี แห่งแรกอยู่ที่อินเดีย แห่งที่สอง อยู่ในศรีลังกา และแห่งสุดท้ายอยู่ที่ วัดราชนัดดา กรุงเทพฯ. นำชม เจดีย์รุวันเวลิ เป็นเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองอนุราธปุระ เคยเป็นที่ตั้งขอสำนักมหาวิหาร อันเป็นสำนักสงฆ์ที่สำคัญของศรีลังกามาแต่ก่อน จากนั้นนำชม เจดีย์อภัยคีรี ตั้งอยู่ใน วัดอภัยคีรีวิหาร และเจดีย์เชตวัน จากนั้น นำชม วิหารอิสุรุมุณิยะ วัดในพระพุทธศาสนา สถานที่ประดิษฐานรอยพระบาท ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และประติมากรรมสลักหินคู่รักอันโด่งดัง
19:00 .        นำท่านกลับสู่ที่พัก, Dinner (4) and Overnight at Ceylon Continental

เมืองตักสิลา

ตักศิลา ศูนย์กลางของศิลปวิชาการก่อนพุทธกาล




ตักศิลา (Taxila) เป็นชื่อเมืองอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐปัญจาบ เป็นมหาวิทยาลัยและเป็นศูนย์กลางของศิลปวิชาการ ในอดีตของอินเดียตั้งแต่ก่อนพุทธกาลมีสำนักอาจารย์ทิศาปาติโมกข์ สั่งสอนศิลปวิทยาต่างๆ แก่ศิษย์ที่มาเล่าเรียนในแถบดินแดนชมพูทวีปบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงหลายท่านที่สำเร็จการศึกษาจากที่แห่งนี้ อาทิเช่น เช่น พระเจ้าปเสนทิโกศล หมอชีวกโกมารภัจจ์ และองคุลีมาล




ปัจจุบันนี้ตักศิลาอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงอิสลามาบัด คงเหลือแต่ซากเมืองให้ได้เห็น


มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พิพิธภัณฑ์ตักศิลา ซึ่งได้เก็บรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับความเป็นอยู่และภูมิปัญญาของชาวตักศิลายุคต่างๆ เอาไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ รวมถึง ซากสถูปเจดีย์ วัดวาอาราม แลปฏิมากรรม แบบศิลปะคันธาระ จำนวนมาก อันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของผู้คนจนรัฐบาลปากีสถานได้อนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถานภายใต้การสนับสนุนขององค์การยูเนสโก



เมืองตักศิลาถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เป็นนครหลวงแห่งแคว้นคันธาระ เป็นหนึ่งในบรรดา 16 แคว้นของชมพูทวีป ที่สถาปนาขึ้นโดยชาวอารยันมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำแคว้นและรุ่งเรืองมานับพันปี ก่อนพุทธกาลนั้นมีความรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้สร้างตักศิลาให้มีชื่อเสียงกิตติศัพท์ขจรขจายไปทั่วพร้อมๆ กับการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

ต่อมาตักศิลาก็ต้องตกอยู่ภายใต้อารยธรรมอีกมากมายต่อๆ มา เช่น อารยธรรมกรีก โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช และอารยธรรมฮินดูอีกหลายราชวงศ์ แต่กระนั้นเลย ตักศิลาก็ยังแสดงความเจิดจรัสแห่งพระพุทธศาสนา



ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชนชาติเฮพธาไลต์ (Hephthalite) ได้ยกทัพมาตีอินเดียและทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้เมืองตักศิลาพินาศสาบสูญแต่บัดนั้น


ภาพ http://www.bbc.com/travel/gallery/20110701-lost-cities
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/ตักศิลา
Tags:

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
    สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ คือมหาสุสานของจักรพรรดิจีน จิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวงตี้) แห่งราชวงศ์ฉิน  อยู่ที่เชิงเขาหลีซัน ตั้งอยู่ที่ตำบลหลินถง ห่างจากเมืองซีอาน มณฑลฉ่านซี ประเทศจีน ปัจจุบันสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1987 และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเมืองซีอาน
    ตามประวัติ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้เริ่มก่อสร้างในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 38 ปี ตั้งแต่ปี 246 - 208 ก่อนคริสตกาล ซึ่งอาณาเขตพื้นที่ของสุสานรวมทั้งสิ้น 2,180 ตร.กม. แบ่งออกเป็นพระราชฐานชั้นในและพระราชฐานชั้นนอก ภายในสุสานใช้บรรจุพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ตลอดจนกองกำลังทหาร นางสนมและนางกำนัล รถม้าและขุนพลทหาร ที่สร้างมาจากดินเผา จำนวนมาก เพื่อเป็นตัวแทนของข้าราชบริพารในการร่วมเดินทางไปยังปรโลกของจิ๋นซีฮ่องเต้
     โครงสร้างและสถาปัตยกรรมโดยรวมของสุสาน มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความลึกเฉลี่ย 35 เมตร กว้าง 145 เมตร และ ยาว 170 เมตร สำหรับห้องบรรจุพระบรมศพอยู่จุดกึ่งกลางของสุสาน มีความสูง 15 เมตร มีขนาดพื้นที่และความใหญ่โตมโหฬาร สำหรับภายใน ในส่วนที่ก่อสร้างจากหินนั้นยังคงได้รับการปิดผนึกอย่างดีโดยคงสภาพเดิมเอาไว้ และไม่เคยผ่านการขุดและรื้อทำลายมาก่อน โดยโครงสร้างของสุสานดังกล่าว มีรูปแบบโครงสร้างและการจัดสร้างที่มีความสลับซับซ้อน ขนาดของสุสานมีขนาดมหึมา ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของจักรพรรดิจีนผู้รวบรวมประเทศจีนให้เป็นปึกแผ่น
     สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 โดยชาวนาในหมู่บ้านซีหยาง ในขณะที่ขุดดินเพื่อทำบ่อน้ำ บริเวณเชิงเขาหลีซาน ห่างจากตัวเมืองซีอาน ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กม. โดยในระหว่างที่ขุดนั้น ก็บังเอิญพบกับซากของทหารดินเผา ที่ทราบภายหลังว่ามีอายุมากกว่า 2,000 ปี ปัจจุบันรัฐบาลจีนขุดค้นพบวัตถุโบราณที่เป็นกองทัพทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึก จำนวนทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น ภายในบริเวณพื้นที่หลุมสุสานกว่า 25,000 ตร.ม. มีการคาดคะเนว่าอาณาเขตของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้จะมีพื้นที่มากกว่า 2,180 ตร.กม. สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2530
 

หมู่บ้านประวัติศาสตร์ของเกาหลี

ทัวร์เกาหลี, เที่ยวเกาหลี
ทัวร์เกาหลี, เที่ยวเกาหลี
ทัวร์เกาหลี, เที่ยวเกาหลี




     ตรงบริเวณทางเข้าบ้านจะมีศาลเจ้าและโรงสีข้าวที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ให้อยู่ในสภาพดี ตรงกันข้ามกับทัศนียภาพชนบทอันเขียวขจี คือบ้านแปดสิบหกหลังที่ปลูกเคียงข้างกันเป็นที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงและบ้านหลังคาจากอันเก่าคร่ำคร่า ทั้งหมดถูกห้อมล้อมด้วยลำธาร

สุสานหลวงราชวงศ์โซซอน

เขตประวัติศาสตร์กยองจู

อาณาบริเวณ สุสานโกดูรยอ

วัชระ:
อาณาจักรโกคูรยอ
           อาณาจักรโกคูรยอ  เกาหลี: 고구려 , ฮันจา: 高句麗, Goguryeo or Koguryŏ, 37ปีก่อนค.ศ. - ค.ศ. 668) เป็นอาณาจักรเกาหลีโบราณ ปัจจุบัน ดินแดนส่วนใหญ่อยู่ใน เกาหลีเหนือ และคาบสมุทรเหลียวตงของ จีน อาณาจักรนี้ถูกสถาปนาโดย พระเจ้าดงเมียงยอง ราชวงศ์นี้มีอาณาเขตตั้งแต่เกาหลีเหนือปัจจุบันแมนจูเรียถึงรัสเซียบางส่วนเป็นราชวงศ์แรก ที่ถูกบันทึกหลักฐานราชวงศ์นี้มีกษัตริย์ที่เป็นมหาราชองค์แรกของเกาหลีคือ พระเจ้ากวางแกโตมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 19 ของราชวงศ์ทรงเก่งทั้งเรื่องรบและเรื่องรักทรงขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางต่อมาอาณาจักรนี้เริ่มมีปัญหารบรากับอาณาจักรแพคเจและอาณาจักรชิลลา ในสมัยราชวงศ์ถัง (618-907) ในขณะนั้นตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิถังเกาจง (หลี่จื้อ) จักรพรรดิองค์ที่3ประมาณปีค.ศ. 660ต่อมาสมัยกษัตริย์องค์ที่ 28 ของราชวงศ์ก็ถูกพวกชิลลาตีแตกและรวบรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรทำให้อาณาจักรโกคูรยอที่ปกครองมายาวนานกว่า 600 ปีก็สิ้นสุดลง
             เมืองหลวงและสุสานของอาณาจักรโกคูรยอโบราณ เมืองหลวงและสุสานของอาณาจักรโกคูรยอโบราณ (จีนตัวย่อ: 高句丽王城、王陵及贵族墓葬) คือแหล่งมรดกโลกที่ประกอบด้วยแหล่งโบราณคดีในเมือง 3 เมือง ได้แก่ เมืองอู๋หนิ่ว ในมณฑลเหลียวหนิง เมืองกั๋วเน่ย (กุงแนซง - ตามภาษาเกาหลี) และหวันตู (ฮวันโด - ตามภาษาเกาหลี) ในมณฑลจี๋หลิน และสุสานอีก 40 แห่ง ซึ่งเป็นของราชวงศ์ 14 แห่ง และขุนนาง 26 แห่ง ทั้งหมดแสดงถึงร่องรอยวัฒนธรรมโกคูรยซึ่งได้มีอำนาจเหนือบางส่วนของภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือของจีนและคาบสมุทรเกาหลีในช่วง 277 ปีก่อน ค.ศ. จนถึง ปี ค.ศ. ที่ 668
             แหล่งโบราณคดีในเมืองอู๋หนิ่วได้ทำการขุดค้นไปเพียงเล็กน้อย ส่วนเมืองกั๋วเน่ย ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองจี๋หนิงในปัจจุบันนั้นได้ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงรอง หลังจากเมืองหลวงของโกคูรยอได้ย้ายไปตั้งที่กรุงเปียงยาง และสำหรับเมืองหวันตู หนึ่งในเมืองหลวงของอาณาจักรโกคูรยอนั้น ได้มีร่องรอยของพระราชวังและสุสานจำนวนกว่า 37 แห่ง
             สมัยจักรพรรดิฮั่นหยวนตี้ ปีที่ 2 แห่งรัชกาลเจี้ยนเจา (ราว 37 ปี ก่อนคริสต์ศักราช) แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก(202 ก่อนคริสต์ศักราช - ค.ศ.25) บรรพบุรุษชาวเกาหลีได้แผ้วถางสร้างเมืองขึ้นที่บริเวณอำเภอเกาโกวหลี (ปัจจุบันคือ อ.ซินปิน ในมณฑลเหลียวหนิงของจีน) หลังจากนั้นก็สถาปนาเมืองหลวงและขยายอำนาจจนมีอาณาเขตกว้างขวางไปทั่ว ตามที่รู้จักกันในชื่อ ‘อาณาจักรโคคูเรียว’
             ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของอาณาจักร โคคูเรียว(อาณาจักรโกคูรยอ)หรือเกาโกวหลี ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5 ได้แผ่อำนาจครอบคลุมภาคตะวันออกของมณฑลจี๋หลิน ตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลเหลียวหนิง จนถึงดินแดนทางตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบัน อาณาจักรโคคูเรียวมีกษัตริย์ปกครองรวมทั้งสิ้น 28 รัชกาล* ระยะเวลาอันรุ่งเรืองจนถึงยุคเสื่อมอยู่ในช่วงเดียวกับราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจนถึงราชวงศ์ถัง(ค.ศ.618-907)ของจีน รวมระยะเวลาราว 705 ปี
             ที่ตั้งและอาณาเขต เมืองเก่าแห่งอาณาจักรโคคูเรียว(อาณาจักรโกคูรยอ)ตั้งอยู่บนเขาอู๋หนี่ว์ซัน(五女山) ที่คาบเกี่ยวระหว่างพื้นที่อำเภอซินปิน(新宾县) และอำเภอปกครองตนเองของชนชาติแมนจู หวนเหริน(桓仁县) ในมณฑลเหลียวหนิง มาจนถึงเมืองจี๋อัน(集安市) ในมณฑลจี๋หลิน เป็นอาณาบริเวณของเมืองเก่าอู๋หนี่ว์ซันซันเฉิง เมืองเก่ากั๋วเน่ยเฉิง เมืองเก่าหวันตูซันเฉิง โบราณสถานสุสานกษัตริย์ 12 หลุม และสุสานคนในตระกูลสูงศักดิ์ 26 หลุม รวมถึงหลุมศพแม่ทัพและศิลาจารึกโบราณของกษัตริย์ห่าวไท่หวัง(好太王)
             มรดกโลก เมืองหลวงและสุสานของอาณาจักรโกคูรยอโบราณได้ลงทะเบียนเป็นมรดกโลกในการ ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แมวไทย

แมวไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แมวไทย (วิเชียรมาศ)
แมวไทย คือแมวที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คุณสมบัติที่ทำให้แมวไทยเหนือกว่าแมวชนิดอื่น คือ อุปนิสัย แมวไทยมีความฉลาด มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้จักคิด รู้จักประจบ รักบ้าน รักเจ้าของ และเหนืออื่นใด คือ รักความอิสระของตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ อิสระที่ จะกิน จะดื่ม หรือจะไปไหนตามที่ใจชอบ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลิกประจำตัวที่ทำให้แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่น สีสันตามตัวของแมวไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักรักแมวรู้สึกสุขใจยามได้มอง ไม่ว่าจะเป็น วิเชียรมาศ เก้าแต้ม ขาวมณีหรือขาวปลอด นิลรัตน์หรือดำปลอด ศุภลักษณ์หรือ ทองแดง สีสวาดหรือแมวไทยพันธุ์โคราช ต่างล้วนได้รับความสนใจ จากเจ้าของและผู้สนใจทั้งสิ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2427 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานแมววิเชียรมาศคู่หนึ่งให้แก่ กงสุลอังกฤษชื่อนาย โอเวน กูลด์ (Owen Gould) แมวไทยคู่นี้ชนะการประกวดแมวที่ กรุงลอนดอน และทำให้ชาวอังกฤษนิยมเลี้ยงแมวไทยมากขึ้น ในที่สุดก็แพร่หลายไปทั่วโลก และแมววิเชียรมาศก็เป็นที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า "Siamese Cat" หรือแมวสยาม นับแต่สมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นมา จวบจนถึง สมัยรัชกาลที่ 5 ลาวได้อพยบสู่สยามโดยการกวดต้อนครัวเรือนชาวลาวไปสยามจำนวนมาก พวกสัตว์ประเภทต่างๆก็คงได้อพยบไปด้วย แมวไทยอาจมีสายเลือดแมวลาวปนอยู่ด้วยอย่างมาก
สำหรับในประเทศไทย คนไทยที่เป็นที่รับรู้ดีว่าชอบเลี้ยงแมวไทย อาทิ เช่น นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายพิชัย วาสนาส่ง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการต่างประเทศ และ ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) เป็นต้น

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ชนิดของแมวไทย

แมวไทย (วิฬาร) ที่ยังเหลือให้พบเห็นในปัจจุบันนี้มี 6 ชนิดคือ วิเชียรมาศ สีสวาด ศุภลักษณ์ โกญจา ขาวมณี และแซมเสวตร[1] แต่แท้จริงแล้วในสมุดข่อยโบราณได้กล่าวถึงแมวไทยว่ามีทั้งหมด 23 สายพันธุ์ แบ่งออกเป็นแมวให้คุณ 17 ชนิด และ แมวร้ายให้โทษอีก 6 ชนิด

[แก้] แมวให้คุณ 17 ชนิด

แมวไทยบนแสตมป์ของ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด (ซ้ายบน) ขาวมณี, (ซ้ายล่าง) วิเชียรมาศ, (ขวาบน) มาเลศ, (ขวาล่าง) ศุภลักษณ์
  1. วิเชียรมาศ เมื่อแรกเกิดมีขนสีขาวหมด พอโตขึ้นจะมีสีเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อน ๆ แต่ที่หน้า หาง เท้าทั้งสี่หูทั้งสองข้าง และที่อวัยวะเพศอีก 1 แห่งรวมเก้าแห่งมีสีน้ำตาล (สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกายสีฟ้าสดใส เลี้ยงไว้มีคุณค่ายิ่งลำนักหนา จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูล
  2. ศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง สีขนเป็นสีทองแดงตลอดตัว มีนัยน์ตาเป็นประกาย ใครเลี่ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นอำมาตย์มนตรี
  3. มาเลศ หรือ แมวโคราช หรือ สีสวาด มีขนสีดอกเลาเปรียบเสมือนกับเมฆสีเทายามฟ้ายับฝน มีนัยน์ตาหยาดเยิ้มประหนึ่งนำค้างย้ยต้องกลีบบัว ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำมาซึ่งสุขสวัสดิ์มงคล
  4. โกนจา หรือ ดำปลอด มีสีดำละเอียด นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม หางเรียวยาว ท่าทางการเดินสง่าเหมือนสิงโต แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย
  5. นิลรัตน์ สีดำทั้งตัว รวมถึงเล็บ ลิ้น ฟัน ดวงตา และกระดูก หางยาวตวัดได้จนถึงหัว เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย
  6. วิลาศ มีลำตัวสีดำจากคอไปตลอดท้อง จากสองหูไปจนถึงหางและขาทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเขียว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองมากมาย
  7. เก้าแต้ม มีสีขาวเป็นพื้น มีแต้มสีดำเก้าจุดที่คอ หัว ต้นขาหน้าและหลังทั้งสองข้างและที่ท้ายลำตัว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะรุ่งเรืองทางการค้าขาย
  8. รัตนกำพล ตัวขาวเหมือนหอยสังข์ แต่รอบตัวตรงส่วนอกมีลักษณะคล้ายสายคาดสีดำ ตาสีเหลือง เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมียศ ผู้อื่นยำเกรง
  9. นิลจักร มีลำตัวดำสนิท ที่คอมีขนสีขาวอยู่รอบเหมือนกับปลอกคอ เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมีทรัพย์มาก
  10. มุลิลา ลำตัวดำ หูสองข้างมีสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนดอกเบญจมาศ เชื่อว่าแมวชนิดนี้เหมาะกับนักบวชเลี้ยงเพราะช่วยให้มีการเล่าเรียนดีสมปรารถนา
  11. กรอบแว่น หรือ อานม้า มีปานลักษณะอานม้าบนหลัง เชื่อว่าแมวชนิดนี้มีราคาสูงถึงแสนตำลึงทองคำ และให้เกียรติยศแก่เจ้าของ
  12. ปัดเสวตร หรือ ปัดตลอด ตัวมีสีดำเป็นพื้น ตั้งแต่จมูกไปตามแนวสันหลังถึงปลายหางมีสีขาว ตาเหลืองคล้ายกับพลอย หากเลี้ยงไว้จะมีความเจริญมากกว่าคนในสกุลเดียวกันและได้ลาภยศ
  13. กระจอก ไม่กระจอกเหมือนชื่อ ลำตัวกลมมีสีดำ รอบปากมีสีขาว ตาสีเหลือง เลี้ยงแล้วเชื่อกันว่าจะได้ที่ดินเงินทอง ไพร่ก็จะได้เป็นเจ้านายคน
  14. สิงหเสพย์ หรือ โสงหเสพย์ ลำตัวมีสีดำ ที่ปาก รอบคอ จมูกมีสีขาว ตาสีเหลือง ท่าทางเดินสง่าเหมือนสิงโต เลี้ยงแล้วมีสิริมงคล
  15. การเวก ลำตัวสีดำ จมูกสีขาว ตาเป็นประกายสีทอง เชื่อกันว่าภายใน 7 เดือนที่ได้มาเลี้ยงจะได้ยศศักดิ์และลาภจำนวนมาก
  16. จตุบท ตัวสีดำ เท้าทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเหลืองเหมือนดอกโสน เชื่อว่าให้คุณกับคนเลี้ยง แต่ไม่เหมาะกับคนทั่วไป สมควรเลี้ยงแก่บุคคลชั้นสูงหรือราชินิกูลเท่านั้น
  17. แซมเสวตร มีขนสีดำแซมขาว มีขนบางและสั้งรูปร่างเพรียว มีนัยน์ตาดั่งหิ่งห้อย เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย

[แก้] แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด

  1. ทุพลเพศ มีขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ
  2. พรรณพยัคฆ์ หรือ ลายเสือ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง
  3. ปีศาจ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้
  4. หิณโทษ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง
  5. กอบเพลิง เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว
  6. เหน็บเสนียด มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ

[แก้] ขาวมณี

ส่วน ขาวมณี หรือ ขาวปลอด นั้นถึงแม้ไม่มีปรากฏในตำราแมวไทย เพราะเชื่อว่าเพิ่งถือกำเนิดในต้นยุครัตนโกสินทร์นี่เอง แต่ก็จัดว่าเป็นแมวไทยมงคลด้วยเหมือนกัน